
จับไข้คืออะไร อาการ สาเหตุ การดูแล: 5 สัญญาณเตือนที่ต้องพบแพทย์ทันที
จับไข้: ไข้คืออะไร อาการ สาเหตุ การดูแล และสัญญาณเตือนที่ต้องพบแพทย์
เมื่อร่างกายเริ่มมีอาการอ่อนเพลีย รู้สึกไม่สบาย และอุณหภูมิสูงขึ้น คำว่าจับไข้หรือเป็นไข้นี้เป็นสิ่งที่คนไทยหลายคนคุ้นเคยดี มันเป็นสัญญาณที่บอกว่าร่างกายกำลังต่อกรกับปัญหาบางอย่างอยู่ บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจอาการของไข้ สาเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น วิธีดูแลตัวเองในเบื้องต้น และสิ่งสำคัญคือการรู้ว่าต้องรีบไปหาหมอเมื่อไหร่ เพื่อให้สุขภาพของตัวคุณและคนใกล้ชิดดีขึ้น

引言: อะไรคือ “จับไข้”? ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการเป็นไข้
คำว่าจับไข้นี้คนไทยใช้กันมานาน หมายถึงภาวะที่อุณหภูมิร่างกายสูงกว่าปกติ ไข้เองไม่ใช่โรค แต่เป็นวิธีที่ร่างกายใช้ป้องกันตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อต้องสู้กับการติดเชื้อหรือการอักเสบ จากข้อมูลของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อุณหภูมิปกติของคนเราอยู่ราว 36.5-37.5 องศาเซลเซียส เราสามารถวัดได้หลายทาง เช่น ทางปาก รักแร้ หรือหู โดยแต่ละวิธีอาจมีค่าที่ต่างกันนิดหน่อย การรู้จักวัดไข้ให้ถูกต้องจะช่วยให้เราประเมินสถานการณ์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ในภาษาไทย เรายังเรียกอีกชื่อว่าเป็นไข้ ซึ่งหมายความเหมือนกันและใช้กันบ่อยในชีวิตประจำวัน คำสองคำนี้ไม่ต่างกันเรื่องความสุภาพมากนัก ใช้ได้ทุกโอกาส แต่เป็นไข้อาจฟังดูเป็นทางการกว่าเล็กน้อย โดยเฉพาะในสถานการณ์ทางการแพทย์

ทำความเข้าใจอาการ “จับไข้” ที่พบบ่อยและปฏิกิริยาของร่างกาย
อาการหลัก: ตัวร้อน หนาวสั่น และปวดเมื่อยตามร่างกาย
พอเริ่มจับไข้ อาการแรกที่เห็นชัดคือตัวร้อน ซึ่งเกิดจากสมองส่วนที่ควบคุมอุณหภูมิหรือไฮโปทาลามัสปรับจุดตั้งให้สูงขึ้น เพื่อให้ร่างกายผลิตความร้อนเพิ่มในการต่อสู้กับเชื้อโรค
อาการที่ตามมาคือหนาวสั่น ซึ่งร่างกายพยายามเพิ่มความร้อนให้ถึงระดับที่สมองกำหนด โดยการเกร็งกล้ามเนื้อซ้ำๆ เพื่อสร้างความอบอุ่น นอกจากนี้ ยังอาจรู้สึกปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ เพราะระบบภูมิคุ้มกันทำงานหนักและเกิดการอักเสบ
ระดับของหนาวสั่นที่แตกต่างกัน ตั้งแต่รู้สึกเย็นๆ เล็กน้อยไปจนถึงสั่นรุนแรง อาจบอกได้ถึงความรุนแรงของไข้หรือการติดเชื้อ หากสั่นหนักมาก มักหมายถึงไข้กำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
อาการร่วมอื่นๆ: ปวดหัว เจ็บคอ และระบบทางเดินอาหาร
นอกจากอาการหลัก ผู้ที่จับไข้อาจเจออาการอื่นๆ ด้วย เช่นปวดหัวที่พบบ่อยมาก และเจ็บคอ โดยเฉพาะถ้าติดเชื้อทางเดินหายใจ
บางคนอาจมีปัญหาทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ เบื่ออาหาร หรือท้องเสียและอาเจียน ซึ่งต้องระวังมาก โดยเฉพาะในเด็ก เพราะเสี่ยงขาดน้ำได้ง่าย
สาเหตุทั่วไปของ “จับไข้”: การติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
การติดเชื้อไวรัส: หวัด ไข้หวัดใหญ่ และไวรัสอื่นๆ
ส่วนใหญ่จับไข้มาจากการติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ในไทยยังมีโรคจากไวรัสที่ทำให้ไข้สูง เช่น ไข้เลือดออกที่มียุงลายเป็นพาหะ การรู้จักสาเหตุเหล่านี้ช่วยให้ป้องกันและรับมือได้ดีขึ้น
การติดเชื้อแบคทีเรียและสาเหตุอื่นๆ ที่ไม่พบบ่อย
การติดเชื้อแบคทีเรียพบน้อยกว่าไวรัส แต่ก็ทำให้เกิดไข้ได้ เช่น ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะหรือลำคอ สาเหตุอื่นๆ อาจเป็นเพลียแดด ผลจากยาบางชนิด หรือโรคที่ทำให้อักเสบภายใน การดูอาการร่วมจะช่วยให้หมอวินิจฉัยไข้ได้แม่นยำ
การดูแลตนเองเมื่อ “จับไข้”: ขั้นตอนบรรเทาอาการไม่สบาย
เมื่อจับไข้ การดูแลตัวเองเบื้องต้นที่ถูกต้องจะช่วยให้อาการดีขึ้นและร่างกายฟื้นตัวเร็ว
การลดไข้ด้วยวิธีทางกายภาพและการใช้ยา
เช็ดตัวเป็นวิธีสำคัญในการลดไข้ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นบิดหมาดเช็ดร่างกาย โดยเฉพาะข้อพับ ซอกคอ และหน้าผาก เพื่อระบายความร้อน การใช้ยาลดไข้เช่น พาราเซตามอล ตามปริมาณที่กำหนด ก็ช่วยได้ดี โรงพยาบาลรามาธิบดีแนะนำให้ระวังการใช้ยาในเด็กเล็ก
| อุณหภูมิร่างกาย (องศาเซลเซียส) | ระดับไข้ | การดูแลเบื้องต้น |
|---|---|---|
| 36.5 – 37.5 | ปกติ | ไม่จำเป็นต้องลดไข้ |
| 37.6 – 38.0 | ไข้ต่ำ | พักผ่อน ดื่มน้ำ เช็ดตัว |
| 38.1 – 39.0 | ไข้ปานกลาง | เช็ดตัว กินยาลดไข้ (พาราเซตามอล) |
| > 39.0 | ไข้สูง | เช็ดตัว กินยาลดไข้ หากไม่ลดภายใน 30 นาที หรือมีอาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์ |
การดื่มน้ำให้เพียงพอและการพักผ่อน
การดื่มน้ำหรือน้ำเกลือแร่ให้พอช่วยป้องกันขาดน้ำที่อาจเกิดจากไข้ สวมเสื้อผ้าหลวมๆ ระบายอากาศดี และรักษาอุณหภูมิห้องให้เหมาะสม ไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป
การพักผ่อนให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ ร่างกายต้องการพลังงานสู้เชื้อโรค การนอนหลับจะช่วยให้ภูมิคุ้มกันทำงานเต็มประสิทธิภาพ
เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์? สัญญาณอันตรายของ “จับไข้”
แม้จับไข้ส่วนใหญ่ดูแลที่บ้านได้ แต่บางครั้งต้องรีบหาแพทย์เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนรุนแรง
สัญญาณบ่งชี้ที่ต้องไปพบแพทย์ในผู้ใหญ่และเด็ก
รีบไปหาแพทย์ถ้ามีอาการเหล่านี้:
- ไข้สูงไม่ลดเกิน 39 องศาเซลเซียส แม้กินยาแล้ว หรือไข้ติดต่อกันเกิน 2-3 วัน
- อาการรุนแรง เช่น หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก คอแข็ง ปวดหัวรุนแรง มีผื่น หรือชัก
- ขาดน้ำรุนแรง เช่น ปากแห้ง ผิวแห้ง ปัสสาวะน้อย
- ในทารกหรือเด็กเล็กที่มีไข้สูง ซึม ไม่กินนม ไม่เล่น
- ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ ปอด เบาหวาน หรือภูมิคุ้มกันต่ำ
คำแนะนำเกี่ยวกับโรงพยาบาลและทรัพยากรทางการแพทย์ในประเทศไทย
ถ้ามีสัญญาณเตือน รีบไปโรงพยาบาลใกล้บ้าน ในไทยมีทั้งรัฐและเอกชน หากฉุกเฉินไปห้อง ER ได้เลย การปรึกษาแพทย์จะช่วยวินิจฉัยและรักษาได้ทัน
เรื่องค่าใช้จ่าย ถ้าไม่มีประกัน โรงพยาบาลรัฐอาจถูกกว่า แต่เตรียมประวัติสุขภาพและอาการให้พร้อม จะช่วยให้ตรวจเร็วขึ้น
การป้องกัน “จับไข้”: เริ่มต้นจากกิจวัตรประจำวัน
ป้องกันดีกว่าหาหมอ การเสริมภูมิคุ้มกันและหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจะลดโอกาสจับไข้ได้
- ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะหลังสัมผัสของสาธารณะและก่อนกินข้าว
- กินอาหารครบถ้วนมีประโยชน์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพและภูมิคุ้มกันแข็งแรง
- ฉีดวัคซีนที่จำเป็น เช่น ไข้หวัดใหญ่ ตามคำแนะนำของแพทย์
- หลีกเลี่ยงที่แออัดหรือใกล้ชิดผู้ป่วย โดยเฉพาะช่วงโรคระบาด
- ในไทย ฤดูฝนและฤดูหนาวไข้หวัดเพิ่มขึ้น ดูแลตัวเองพิเศษ เช่น สวมเสื้ออุ่น ใส่หน้ากากเมื่อจำเป็น
สรุป: เข้าใจและรับมือกับ “จับไข้”
จับไข้เป็นกลไกธรรมชาติที่ร่างกายใช้สู้เชื้อโรค การรู้จักอาการ สาเหตุ และวิธีดูแลเบื้องต้นจะช่วยให้รับมือได้มั่นใจ ไม่ตื่นตระหนก สำคัญคือสังเกตอาการ ถ้ามีสัญญาณร้ายหรือไม่ดีขึ้น รีบหาแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาให้เหมาะสม ความรู้ที่ถูกต้องคือกุญแจสำคัญในการดูแลสุขภาพของทุกคน
Q1: “จับไข้” และ “เป็นไข้” มีความแตกต่างกันอย่างไร และคำไหนสุภาพหรือใช้บ่อยกว่าในชีวิตประจำวันของคนไทย?
ทั้งสองคำหมายถึงการมีอาการไข้เหมือนกัน ไม่ต่างเรื่องสุภาพมาก แต่เป็นไข้ใช้บ่อยกว่าและฟังดูเป็นทางการนิดหน่อยในสถานการณ์ทั่วไปหรือทางการแพทย์ ส่วนจับไข้อาจใช้ในชีวิตประจำวันหรือกับคนใกล้ชิดมากกว่า คุณใช้ได้ทั้งคู่ในโอกาสส่วนใหญ่
Q2: เมื่อมีไข้และ “หนาวสั่น” นอกจากห่มผ้าแล้ว ยังมีวิธีรับมือที่บ้านที่ถูกต้องอีกไหม?
นอกจากห่มผ้าให้อบอุ่น เวลามีไข้และหนาวสั่น ควรเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น โดยเฉพาะซอกคอ ข้อพับ และลำตัว เพื่อระบายความร้อน ดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำเกลือแร่ให้พอ และกินยาลดไข้ตามขนาดที่แนะนำ ถ้าสั่นรุนแรงหรือไม่ดีขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์
Q3: ถ้าลูก “ลูกไข้ หนาว สั่น ตอนกลางคืน” และมีอาการท้องเสียร่วมด้วย ควรทำอย่างไรก่อน และเมื่อไหร่ที่ต้องรีบไปพบแพทย์ทันที?
ถ้าลูกมีไข้หนาวสั่นตอนกลางคืนและท้องเสีย เริ่มด้วยการดูแลเบื้องต้นดังนี้:
- ลดไข้: เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นทั่วร่างกาย โดยเฉพาะข้อพับและลำตัว ให้ดื่มน้ำหรือน้ำเกลือแร่บ่อยๆ เพื่อป้องกันขาดน้ำ และให้ยาลดไข้สำหรับเด็กตามน้ำหนัก
- สังเกตอาการ: ดูสัญญาณร้าย เช่น ไข้สูงไม่ลด ซึม ไม่กินนมหรือน้ำ ปัสสาวะน้อย อาเจียนมาก ท้องเสียหนัก หรือชัก
รีบไปหาหมอทันทีถ้า: ไข้เกิน 39 องศาเซลเซียสและไม่ลดหลังเช็ดตัวกับให้ยา ลูกซึมมาก ปากแห้ง ตาโบ๋ ปัสสาวะน้อย (ขาดน้ำ) ชัก หรือท้องเสียรุนแรงผิดปกติ
Q4: ในประเทศไทย ถ้ามีไข้ “ปวด หัว ตัว ร้อน ปวด เมื่อ ย เจ็บคอ” แต่ไม่รุนแรง สามารถซื้อยาที่ร้านขายยาได้เลยหรือไม่ หรือจำเป็นต้องไปพบแพทย์?
ถ้าอาการไข้ปวดหัว ตัวร้อน ปวดเมื่อย เจ็บคอไม่รุนแรงและไม่มีสัญญาณร้ายอื่น เช่น หายใจลำบากหรือผื่น สามารถไปร้านยาปรึกษาเภสัชกรเพื่อซื้อยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล และยาแก้ตามอาการ เช่น ยาแก้ปวดหรือยาอมแก้เจ็บคอได้ พร้อมพักผ่อนและดื่มน้ำเยอะ
แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นใน 2-3 วัน ไข้ไม่ลด หรือแย่ลง เช่น ไอหนัก เจ็บคอจนกลืนยาก ควรรีบไปหาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาให้ถูกต้อง
Q5: ช่วงมีไข้ คนไทยนิยมทานอาหารหรือเครื่องดื่มอะไรที่ย่อยง่ายและช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดี?
เวลามีไข้ คนไทยมักเลือกอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย เพื่อไม่ให้ร่างกายเหนื่อยกับการย่อย และช่วยฟื้นตัว เช่น:
- ข้าวต้ม/โจ๊ก: อาหารหลักยอดฮิต ปรุงจืดๆ ใส่เนื้อบดหรือไข่
- แกงจืด: ซุปใส่ผักและหมูสับ ให้สารอาหารและความอบอุ่น
- น้ำผลไม้/ผลไม้: เช่น น้ำส้ม น้ำเกลือแร่ หรือผลไม้ไม่เปรี้ยวจัดอย่างกล้วย ส้ม
- น้ำอุ่น/น้ำขิง: ช่วยชุ่มคอและบรรเทาเจ็บคอ
หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด เผ็ด มัน หรือย่อยยากในช่วงนี้
Q6: หากรู้สึก “ตัวร้อนตอนกลางคืน” แต่ตอนกลางวันไม่มีไข้ นี่เป็นเรื่องปกติหรือไม่ และควรต้องกังวลเป็นพิเศษไหม?
อาการตัวร้อนตอนกลางคืนแต่กลางวันปกติ อาจเกิดจากหลายอย่าง เช่น:
- ไข้ต่ำๆ: ร่างกายอาจมีไข้เบาๆ ที่ไม่ชัดเจนกลางวัน แต่กลางคืนภูมิคุ้มกันทำงานหนักขึ้น ทำให้อุณหภูมิสูงนิดหน่อย
- อุณหภูมิห้อง/ผ้าห่ม: ห้องร้อนเกินหรือห่มหนาเกินไป อาจทำให้รู้สึกร้อน
- ฮอร์โมน: การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน เช่น ในวัยหมดประจำเดือนของผู้หญิง อาจทำให้ร้อนวูบวาบ
ถ้าแค่ร้อนเล็กน้อยและไม่มีอาการอื่น เช่น อ่อนเพลียหรือปวดเมื่อย อาจไม่ต้องกังวล แต่ถ้าต่อเนื่องหลายวันหรือมีอาการอื่นร่วม ควรไปตรวจกับแพทย์เพื่อหาสาเหตุ
Q7: ฤดูฝนหรือฤดูหนาวในประเทศไทยมีโอกาส “จับไข้” ง่ายเป็นพิเศษหรือไม่ และควรมีมาตรการป้องกันตามฤดูกาลอย่างไร?
ใช่ ฤดูฝนและฤดูหนาวในไทยทำให้จับไข้หรือไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ง่ายขึ้น
- ฤดูฝน: อากาศชื้น ฝนตกบ่อย เชื้อไวรัสแพร่กระจายง่าย อุณหภูมิเปลี่ยนเร็ว ร่างกายปรับไม่ทัน และเสี่ยงไข้เลือดออก
- ฤดูหนาว: อากาศเย็นแห้ง ช่วยให้ไวรัสทางเดินหายใจแพร่ได้ดี
มาตรการป้องกันตามฤดู:
- ฉีดวัคซีน: โดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่ ทุกปี
- ดูแลให้อบอุ่น: สวมเสื้อผ้าพอดีกับอากาศ โดยเฉพาะตอนเย็น
- หลีกเลี่ยงตากฝน: ถ้าต้องตาก รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าและอาบน้ำ
- ป้องกันยุง: ในฤดูฝน เพื่อเลี่ยงไข้เลือดออก
- ล้างมือ: บ่อยๆ และอย่าเอามือโดนหน้า
- พักผ่อนและกินอาหารดี: เสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
Q8: ถ้าไข้ขึ้นๆ ลงๆ หรือลดแล้วกลับมามีไข้อีก ควรทำอย่างไร?
ถ้าไข้ขึ้นๆ ลงๆหรือลดแล้วกลับมา ควรเฝ้าดูและไปหาแพทย์ เพราะอาจบ่งบอกถึง:
- ติดเชื้อไม่หายสนิท: ร่างกายยังสู้เชื้ออยู่
- ติดเชื้อรุนแรง: อาจเป็นไข้หวัดใหญ่หรือแบคทีเรียที่ต้องการยาปฏิชีวนะ
- ภาวะแทรกซ้อน: เช่น ติดเชื้อปอดหรือระบบอื่น
ไปตรวจกับแพทย์เพื่อหาสาเหตุจริง โดยเฉพาะถ้ามีอาการอื่น เช่น อ่อนเพลียมาก เบื่ออาหาร น้ำหนักลด หรือไข้ยาวนาน การบอกรูปแบบไข้ละเอียดจะช่วยวินิจฉัยได้ดี
發佈留言
很抱歉,必須登入網站才能發佈留言。