ภาวะฟองสบู่: ความเสี่ยงในการลงทุนในตลาดการเงิน

ภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ คืออะไร? เข้าใจง่ายใน 5 นาที

ภาพประกอบแนวคิดภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่

ฟองสบู่ทางเศรษฐกิจ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “Economic Bubble” คือสถานการณ์ที่ราคาของสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง — ไม่ว่าจะเป็นหุ้น อสังหาริมทรัพย์ หรือแม้แต่สกุลเงินดิจิทัล — ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จนเกินจริงไปจากมูลค่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น เปรียบได้กับฟองสบู่ที่ถูกเป่าให้ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ดูสวยสดงดงาม แต่ภายในกลับว่างเปล่า และพร้อมจะแตกในชั่วพริบตา

แก่นสำคัญของปรากฏการณ์นี้คือ “การเก็งกำไร” และ “จิตวิทยารวมหมู่” เมื่อคนจำนวนมากเริ่มเชื่อว่าราคาจะพุ่งขึ้นไม่หยุด พวกเขาก็รีบกันเข้ามาซื้อโดยไม่สนใจว่าสินทรัพย์นั้นมีมูลค่าที่แท้จริงเท่าไร แต่หวังเพียงจะขายต่อให้คนอื่นในราคาที่สูงกว่า แรงซื้อนี้ยิ่งดันให้ราคาพุ่งสูงขึ้นอีก สร้างวงจรแห่งความโลภ ดึงดูดผู้เล่นใหม่ ๆ เข้ามาไม่หยุด จนกระทั่งจุดเปลี่ยนหนึ่งเกิดขึ้น ทำให้ทุกคนตระหนักว่า “ราคาไม่ได้สะท้อนความจริง” แล้วฟองสบู่ก็แตกในที่สุด

ทำไมฟองสบู่ถึงเกิดขึ้น? ปัจจัยหลักที่ผลักดัน

ฟองสบู่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วย แต่เป็นผลจากปัจจัยหลายด้านที่ซ้อนทับกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งเชิงเศรษฐกิจ อารมณ์ และโครงสร้างทางการเงิน ซึ่งมักจะเริ่มต้นจากความหวังที่ดี แต่จบลงด้วยความเสียหายมหาศาล

เทคโนโลยีใหม่และนวัตกรรมเปลี่ยนโลก

เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้น เช่น อินเทอร์เน็ต ปัญญาประดิษฐ์ หรือบล็อกเชน มักจะตามมาด้วยความตื่นเต้นระดับสูงจากนักลงทุน ทุกคนเริ่มวาดภาพอนาคตที่สดใส แม้บริษัทเหล่านั้นจะยังไม่มีกำไรเลยก็ตาม ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ ฟองสบู่ดอทคอมช่วงปลายยุค 90 ที่บริษัทสตาร์ทอัพหลายร้อยแห่งได้รับมูลค่าพันล้านเพียงเพราะมีคำว่า “.com” ต่อท้ายชื่อ ส่วนในยุคปัจจุบัน สกุลเงินดิจิทัลและเทคโนโลยีบล็อกเชนก็ถูกมองว่าอาจพลิกโฉมระบบการเงินทั้งโลก ทำให้คนแห่ลงทุนอย่างบ้าคลั่ง โดยไม่ทันไตร่ตรองว่า ความเป็นไปได้ในอนาคต ไม่ได้แปลว่า “ต้องได้ผลกำไรทันที”

อัตราดอกเบี้ยต่ำ และสภาพคล่องล้นฟอง

เมื่อธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ ลดดอกเบี้ยนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ต้นทุนการกู้ยืมก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เงินทุนไหลเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ประชาชนและนักลงทุนจึงเริ่มมองหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าการฝากเงิน เช่น หุ้นหรือบ้าน แรงซื้อเหล่านี้จึงกลายเป็นตัวเร่งให้ราคาสินทรัพย์พุ่งสูงขึ้นเร็วเกินจริง โดยเฉพาะในช่วงที่ดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่องหลายปี เช่น หลังวิกฤตการเงินโลกปี 2008 หรือช่วงโควิด-19 ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ใช้นโยบาย QE อย่างเข้มข้น

การเก็งกำไรและการตามกระแส

เมื่อราคาเริ่มขยับ ข่าวสารในสื่อสังคมและสื่อมวลชนก็เริ่มตีแผ่เรื่องราวของ “นักลงทุนถังแตกกลายเป็นเศรษฐี” ทำให้คนทั่วไปเกิดความรู้สึก “กลัวตกรถ” หรือ FOMO (Fear of Missing Out) หลายคนตัดสินใจลงทุนโดยไม่ศึกษาพื้นฐานหรือความเสี่ยง เห็นคนอื่นทำได้ ก็เชื่อว่าตัวเองก็ทำได้เช่นกัน นี่คือช่วงที่ “การลงทุน” เริ่มกลายเป็น “การพนัน” โดยไม่รู้ตัว

กฎระเบียบที่หละหลวมหรือยังไม่ทันตามทัน

ในบางกรณี หน่วยงานกำกับดูแลอาจยังไม่สามารถควบคุมสินทรัพย์รูปแบบใหม่ได้อย่างทันท่วงที ทำให้เกิดช่องโหว่ เช่น การปล่อยกู้บ้านง่ายเกินไปในยุคฟองสบู่อสังหาฯ หรือการซื้อขายคริปโตในตลาดที่ไม่มีการกำกับอย่างเข้มงวด ส่งผลให้เกิดการเก็งกำไรเกินขอบเขต และสะสมความเสี่ยงไว้ในระบบการเงินโดยไม่มีใครรู้ตัว

5 ขั้นตอนของฟองสบู่: จากจุดเริ่มต้นถึงการล่มสลาย

กราฟแสดงการปรับตัวขึ้นและลงของราคาสินทรัพย์ในช่วงฟองสบู่

นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังอย่าง Hyman Minsky ได้ศึกษาและจำแนกวงจรของฟองสบู่ออกเป็น 5 ระยะ ซึ่งปรากฏซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์การเงินโลก ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ที่ดิน หรือสินทรัพย์ดิจิทัล

  1. ระยะเปลี่ยนแปลง (Displacement): เกิดเหตุการณ์สำคัญที่เปลี่ยนมุมมองของนักลงทุน เช่น การเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงิน ทำให้เกิดโอกาสใหม่ในตลาด
  2. ระยะขาขึ้น (Boom): ราคาเริ่มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีข่าวลือและบทสัมภาษณ์นักลงทุนที่ได้กำไร ดึงดูดนักลงทุนรายย่อยเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
  3. ระยะเคลิบเคลิ้ม (Euphoria): ราคาพุ่งขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ทุกคนเชื่อว่า “ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม” แม้ปัจจัยพื้นฐานจะไม่รองรับ ตลาดเต็มไปด้วยเสียงฮือฮาและเรื่องราวความมั่งคั่งในชั่วข้ามคืน
  4. ระยะทำกำไร (Profit Taking): นักลงทุนรายใหญ่หรือผู้ที่เริ่มต้นก่อนเริ่มขายทำกำไร แต่ตลาดยังดูแข็งแรงเพราะมีนักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อต่อ
  5. ระยะตื่นตระหนก (Panic): เมื่อข่าวร้ายหรือเหตุการณ์สะเทือนเกิดขึ้น ความเชื่อมั่นพังทลาย ทุกคนเริ่มเทขายพร้อมกัน ราคาดิ่งลงอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ฟองสบู่แตกในที่สุด

บทเรียนจากอดีต: ฟองสบู่ที่โลกจดจำ

ประวัติศาสตร์ได้บันทึกฟองสบู่แตกหลายครั้ง แต่บางเหตุการณ์ก็ทิ้งร่องรอยไว้ลึกเกินลืม กลายเป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับนักลงทุนทุกยุค

ฟองสบู่ดอกทิวลิป (Tulip Mania, 1637)

ในยุคศตวรรษที่ 17 ที่เนเธอร์แลนด์ ดอกทิวลิป โดยเฉพาะพันธุ์ที่มีลวดลายแปลกตา กลายเป็นสินทรัพย์ที่คนทั้งประเทศแห่ซื้อเก็งกำไร ราคาหัวทิวลิปต้นเดียวเคยสูงพอ ๆ กับบ้านหลังใหญ่ แต่ในไม่กี่วัน ความเชื่อมั่นพังทลาย ราคาตกฮวบ หลายคนล้มละลาย นี่คือฟองสบู่ทางการเงินครั้งแรกที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์

ฟองสบู่ดอทคอม (Dot-com Bubble, 2000)

ยุคอินเทอร์เน็ตเริ่มเฟื่องฟู บริษัทเทคโนโลยีหลายร้อยแห่งระดมทุนและเข้าตลาดหุ้นโดยไม่มีรายได้หรือกำไร นักลงทุนเชื่อว่า “อนาคต” คือกำไร ดัชนี NASDAQ พุ่งสูงเกือบ 4,000 จุด ก่อนจะร่วงลงกว่า 75% ภายใน 2 ปี บริษัทส่วนใหญ่ล้มหายตายจากไป

วิกฤตต้มยำกุ้ง (1997)

ไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากวิกฤตการเงินเอเชีย ซึ่งเริ่มต้นจากฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ที่พองตัวเกินจริง จากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เร็วเกินไป การก่อหนี้ต่างประเทศสูง และการเปิดเสรีการเงินที่ยังไม่พร้อม เมื่อเงินทุนต่างชาติเริ่มไหลออก ค่าเงินบาทถูกโจมตี และในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 รัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้ค่าเงินดิ่งลงกว่า 50% ภายในไม่กี่เดือน ธุรกิจล้มเหลว สถาบันการเงิน 56 แห่งถูกปิดตัว วิกฤตครั้งนี้กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย ยังคงศึกษาและถ่ายทอดอยู่จนทุกวันนี้

ฟองสบู่ในยุคดิจิทัล: คริปโตและหุ้นเทค กำลังอยู่ใน “จุดพีก” หรือยัง?

ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วเกินคาด คำถามที่หลายคนสงสัยคือ สินทรัพย์อย่าง Bitcoin หรือหุ้นกลุ่ม Big Tech (เช่น Apple, Nvidia, Tesla) กำลังอยู่ในภาวะฟองสบู่หรือไม่

มุมมองที่เชื่อว่าใช่ อ้างว่าราคาของสินทรัพย์เหล่านี้ผันผวนสูงมาก มีนักลงทุนจำนวนมากที่ไม่เข้าใจเทคโนโลยี แต่เข้ามาเพื่อหวังกำไรระยะสั้น แถมมูลค่าบางตัวไม่ได้อิงกับรายได้ หรือกระแสเงินสด แต่ขึ้นกับ “ความเชื่อ” ของตลาดเท่านั้น

มุมมองที่ค้าน มองว่าสิ่งเหล่านี้คือ “การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง” (Paradigm Shift) บล็อกเชนไม่ใช่แค่แนวคิด แต่เริ่มถูกนำไปใช้จริงในระบบการเงิน ห่วงโซ่อุปทาน และแม้แต่รัฐบาล ส่วนบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ก็มีผลกำไรนับหมื่นล้านดอลลาร์ต่อปี และผลิตภัณฑ์ที่คนทั่วโลกใช้ทุกวัน การเติบโตของราคาจึงอาจสะท้อนมูลค่าในอนาคตที่แท้จริง

อย่างไรก็ตาม แม้ Moneta Markets จะเป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ชั้นนำที่ให้บริการซื้อขายคริปโตและหุ้นเทคโนโลยีระดับโลก แต่ทางบริษัทก็มักจะเน้นย้ำกับนักลงทุนว่า “ความรู้คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุด” การวิเคราะห์พื้นฐาน ความเข้าใจในความเสี่ยง และการวางแผนการลงทุนระยะยาว คือสิ่งที่ควรให้ความสำคัญมากกว่าการตามกระแส

นักลงทุนควรทำอย่างไรเมื่ออยู่ในช่วงฟองสบู่?

ภาพจำลองพฤติกรรมการเก็งกำไรของนักลงทุนในตลาด

อยู่ในตลาดที่ร้อนแรงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าคุณมีวินัยและกลยุทธ์ที่ดี ก็สามารถผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างปลอดภัย

  • กระจายความเสี่ยง (Diversification): อย่าใส่ไข่ทั้งหมดในตะกร้าเดียว ไม่ว่าสินทรัพย์ใดจะดู “ร้อนแรง” เพียงใด ก็ควรจัดสรรเงินไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภท เช่น หุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ และอสังหาริมทรัพย์ เพื่อลดความเสี่ยงหากตลาดหนึ่งล้มเหลว
  • ลงทุนเน้นมูลค่า (Value Investing): มองหาสินทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง โดยอิงจากปัจจัยพื้นฐาน เช่น กำไร หนี้สิน หรือความสามารถในการสร้างรายได้ แทนที่จะไล่ตามราคาที่พุ่งขึ้น
  • ศึกษาให้ลึกก่อนตัดสินใจ: อย่าลงทุนในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นคริปโต หรือหุ้นเทค คุณควรรู้ว่าบริษัทนั้นทำอะไร ใครคือลูกค้า รายได้มาจากไหน และมีจุดแข็งอะไร
  • ควบคุมอารมณ์ อย่าตามกระแส: ความโลภและความกลัวคือศัตรูตัวร้ายของนักลงทุน อย่าซื้อเพราะ “กลัวตกรถ” หรือขายเพราะ “กลัวขาดทุน” ยึดมั่นในแผนการลงทุนของคุณ ตามที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แนะนำสำหรับผู้เริ่มต้น

สรุป: บทเรียนที่ควรจำจากฟองสบู่

ฟองสบู่ทางเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องของเทคโนโลยีหรือสินทรัพย์ แต่เป็นเรื่องของ “มนุษย์” ความโลภ ความกลัว และความเชื่อที่เกินจริง คือตัวขับเคลื่อนหลัก ไม่ว่าจะเป็นดอกทิวลิป หุ้นดอทคอม หรือคริปโต วงจรเดิมก็ยังคงเกิดซ้ำ

สิ่งที่นักลงทุนทุกคนควรทำคือ เรียนรู้จากอดีต เข้าใจกลไกของตลาด วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน และควบคุมจิตใจให้อยู่เหนือกระแส การลงทุนที่ยั่งยืนไม่ได้วัดที่กำไรในวันเดียว แต่คือการรักษาเงินต้นและเติบโตอย่างมีสติในระยะยาว

วิกฤตฟองสบู่แตกในไทยเกิดขึ้นปีไหน และมีชื่อเรียกว่าอะไร?

วิกฤตฟองสบู่แตกครั้งใหญ่ในประเทศไทยเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) และเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “วิกฤตต้มยำกุ้ง” ซึ่งวิกฤตการณ์ครั้งนี้ได้ลุกลามไปทั่วทวีปเอเชียจนถูกเรียกว่า “วิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย” (Asian Financial Crisis)

ตอนวิกฤตฟองสบู่แตก ปี 2540 ใครเป็นนายกรัฐมนตรี?

ในช่วงที่รัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาทในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤตต้มยำกุ้งอย่างเป็นทางการ นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยในขณะนั้นคือ พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ

ภาวะฟองสบู่แตก ส่งผลกระทบต่อคนทั่วไปอย่างไรบ้าง?

ผลกระทบนั้นรุนแรงและเป็นวงกว้าง โดยส่งผลกระทบต่อคนทั่วไปดังนี้:

  • การตกงาน: บริษัทและโรงงานจำนวนมากต้องปิดตัวลง ทำให้เกิดการเลิกจ้างงานจำนวนมหาศาล
  • หนี้สินเพิ่มขึ้น: โดยเฉพาะผู้ที่มีหนี้เป็นสกุลเงินต่างประเทศ จะมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวจากค่าเงินบาทที่อ่อนลง
  • มูลค่าทรัพย์สินลดลง: ราคาบ้าน ที่ดิน และหุ้นที่เคยซื้อไว้ในราคาสูงตกลงอย่างหนัก ทำให้ความมั่งคั่งหายไป
  • สถาบันการเงินปิดตัว: บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ (ไฟแนนซ์) 56 แห่งถูกสั่งปิด ทำให้ประชาชนที่ฝากเงินไว้ได้รับความเดือดร้อน

ตามสถิติแล้ว เมื่อฟองสบู่แตก ทองคำมักจะมีราคาขึ้นหรือลง?

โดยทั่วไปแล้ว ทองคำมักถูกมองว่าเป็น “สินทรัพย์ปลอดภัย” (Safe Haven) ในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจหรือภาวะฟองสบู่แตก นักลงทุนมักจะย้ายเงินออกจากสินทรัพย์เสี่ยง (เช่น หุ้น) มาถือครองทองคำเพื่อรักษาความมั่งคั่ง ส่งผลให้ความต้องการทองคำสูงขึ้นและราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่กฎตายตัวเสมอไป และราคาทองคำยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่น นโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ และค่าเงินดอลลาร์

เราจะสังเกตสัญญาณเตือนของภาวะฟองสบู่ในปัจจุบันได้อย่างไร?

สัญญาณเตือนที่ควรจับตามอง ได้แก่:

  • คนทั่วไปเริ่มพูดถึงการลงทุนนั้นๆ: เมื่อเรื่องการลงทุนในสินทรัพย์บางอย่างกลายเป็นหัวข้อสนทนาในหมู่คนทั่วไปที่ไม่ใช่นักลงทุนมืออาชีพ
  • การประเมินมูลค่าที่สูงเกินจริง: เมื่อค่า P/E ของตลาดหุ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตมาก หรือราคาสินทรัพย์พุ่งขึ้นโดยที่ปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลง
  • สื่อประโคมข่าวอย่างหนัก: มีการนำเสนอข่าวความสำเร็จของนักลงทุนรายย่อยที่ร่ำรวยอย่างรวดเร็วอยู่บ่อยครั้ง
  • ความเชื่อที่ว่า “ครั้งนี้ไม่เหมือนเดิม”: มีการใช้เหตุผลใหม่ๆ มาอธิบายว่าทำไมครั้งนี้ราคาสินทรัพย์ถึงจะขึ้นไปได้เรื่อยๆ โดยไม่สนใจบทเรียนในอดีต

อะไรคือความแตกต่างระหว่างตลาดกระทิง (Bull Market) กับภาวะฟองสบู่?

ตลาดกระทิง (Bull Market) คือภาวะที่ตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องและยาวนาน โดยมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งรองรับ เช่น GDP เติบโตดี, กำไรบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น, และอัตราการว่างงานต่ำ ส่วนภาวะฟองสบู่ คือการที่ราคาปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงและรวดเร็วเกินไป โดยขับเคลื่อนจากการเก็งกำไรและอารมณ์ของตลาดเป็นหลัก มากกว่าปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง กล่าวคือ ตลาดกระทิงตั้งอยู่บนความเป็นจริง แต่ฟองสบู่ตั้งอยู่บนความคาดหวังที่เกินจริง

วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ (Hamburger Crisis) ถือเป็นฟองสบู่แตกหรือไม่?

ใช่, วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ หรือวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ (Subprime Mortgage Crisis) ในปี 2008 ถือเป็นภาวะฟองสบู่แตกครั้งสำคัญของโลก โดยเป็นฟองสบู่ใน “ภาคอสังหาริมทรัพย์” ของสหรัฐอเมริกา ที่เกิดจากการปล่อยสินเชื่อบ้านให้กับลูกหนี้ที่ไม่มีคุณภาพ (ซับไพรม์) อย่างแพร่หลาย ประกอบกับการสร้างผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้นมาจากการจำนองเหล่านั้น เมื่อลูกหนี้เริ่มผิดนัดชำระหนี้ ฟองสบู่จึงแตกและส่งผลกระทบลุกลามไปทั่วระบบการเงินโลก

Author photo

發佈留言