
การซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ คือ อะไร? คู่มือเริ่มต้น 5 ขั้นตอน สู่การสร้างพอร์ตลงทุนมั่นคง
บทนำ: ทำไมต้องรู้จักการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์?
ในยุคสมัยที่การออมเงินแบบดั้งเดิมอาจไม่เพียงพอสำหรับการสร้างความมั่งคั่งระยะยาวหรือบรรลุความฝันทางการเงิน การหันมาสนใจการลงทุนจึงกลายเป็นทางเลือกที่ขาดไม่ได้ และหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมสูงเพราะโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่น่าประทับใจคือการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้น การก้าวสู่โลกแห่งการลงทุนนี้อาจดูน่าประหม่าเพราะความซับซ้อน แต่หากมีพื้นฐานที่ถูกต้องและแนวทางที่ชัดเจน ทุกคนก็สามารถเริ่มต้นได้อย่างราบรื่น บทความนี้จึงรวบรวมข้อมูลแบบครบถ้วน เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจว่าการซื้อหุ้นคืออะไร มีขั้นตอนอย่างไร และควรเตรียมตัวด้านใดบ้าง เพื่อให้คุณพร้อมก้าวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วยความมั่นใจ

การซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ คืออะไร? เข้าใจพื้นฐานก่อนเริ่ม
ก่อนที่จะดำดิ่งสู่การซื้อขายจริงจัง สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการสร้างฐานความรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นให้มั่นคง
หุ้นคืออะไร? ทำไมบริษัทถึงออกหุ้น?
หุ้นคือหลักทรัพย์ที่แสดงถึงส่วนแบ่งความเป็นเจ้าของในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ผู้ที่ถือหุ้นจึงเหมือนเป็นหุ้นส่วนของบริษัทนั้นในสัดส่วนตามจำนวนหน่วยที่ถือครอง บริษัทเลือกออกหุ้นและนำเสนอขายในตลาดเพื่อรวบรวมทุนจากประชาชน โดยนำเงินที่ได้ไปใช้ในการขยายกิจการ ดำเนินธุรกิจ ชำระหนี้สิน หรือพัฒนาโครงการที่ช่วยให้บริษัทเติบโตยิ่งขึ้น เมื่อบริษัทประสบความสำเร็จและมีกำไร ผู้ถือหุ้นก็จะได้รับผลประโยชน์ เช่น การจ่ายเงินปันผลหรือกำไรจากส่วนต่างราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยให้การลงทุนนี้มีศักยภาพในการสร้างรายได้ระยะยาว

ตลาดหลักทรัพย์คืออะไร? บทบาทและกลไกสำคัญ
ตลาดหลักทรัพย์คือสถานที่กลางที่เชื่อมโยงผู้ซื้อและผู้ขายหลักทรัพย์ โดยเฉพาะหุ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนที่โปร่งใส ในประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือ SET ถือเป็นหน่วยงานหลักที่ดูแลกระบวนการนี้ ตลาดนี้มีหน้าที่สำคัญหลายด้านที่ช่วยสนับสนุนทั้งบริษัทและนักลงทุน
- ช่วยบริษัทระดมทุนขนาดใหญ่จากนักลงทุนจำนวนมาก
- อำนวยความสะดวกในการซื้อขายที่เป็นระบบและยุติธรรม
- กำหนดราคาหุ้นผ่านกลไกอุปสงค์และอุปทาน
- ให้ข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นสำหรับการตัดสินใจ
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมเว็บไซต์ของ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อศึกษาบทบาทโดยละเอียด
ประเภทของหุ้นที่ควรรู้ (เช่น หุ้นสามัญ, หุ้นบุริมสิทธิ)
ในตลาดหลักทรัพย์ไทย หุ้นที่ซื้อขายกันทั่วไปแบ่งได้เป็นประเภทหลักสองแบบ
- หุ้นสามัญ (Common Stock): ประเภทที่พบเห็นบ่อยที่สุด ผู้ถือมีสิทธิ์โหวตในที่ประชุมผู้ถือหุ้น ได้รับเงินปันผลตามผลประกอบการ และมีสิทธิ์ในสินทรัพย์เหลือเมื่อบริษัทเลิกกิจการหลังจากชำระหนี้และหุ้นบุริมสิทธิ
- หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock): ให้สิทธิพิเศษ เช่น ได้รับเงินปันผลก่อนและชำระคืนทุนก่อนหุ้นสามัญเมื่อบริษัทยุติกิจการ แต่ส่วนใหญ่ไม่มีสิทธิ์โหวต

ประโยชน์และความเสี่ยงของการลงทุนในหุ้น
การลงทุนในหุ้นนำมาซึ่งทั้งโอกาสและอุปสรรคที่นักลงทุนทุกคนควรพิจารณาให้รอบคอบ เพื่อให้สามารถตัดสินใจได้อย่างสมดุล
ผลตอบแทนที่คาดหวังจากการซื้อหุ้น (ปันผลและส่วนต่างราคา)
ผู้ลงทุนสามารถคาดหวังผลตอบแทนจากหุ้นได้ในสองรูปแบบหลักที่ช่วยสร้างรายได้
- เงินปันผล (Dividends): คือส่วนแบ่งกำไรที่บริษัทแจกจ่ายให้ผู้ถือหุ้น ขึ้นอยู่กับผลประกอบการและมติจากคณะกรรมการกับผู้ถือหุ้น
- ส่วนต่างราคา (Capital Gains): เกิดจากราคาหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นจากเวลาที่ซื้อ เมื่อขายออกไปจะได้กำไรจากส่วนต่างนั้น
ทั้งสองรูปแบบนี้ทำให้หุ้นเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเพิ่มพูนทรัพย์สิน หากเลือกบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง
ความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องเจอและวิธีรับมือ
แม้จะมีโอกาส แต่การลงทุนในหุ้นก็มาพร้อมความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น
- ความเสี่ยงด้านราคา (Market Risk): ราคาหุ้นผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจ ข่าวสาร หรือแนวโน้มตลาด ซึ่งอาจทำให้มูลค่าลงทุนลดลงชั่วคราว
- ความเสี่ยงด้านธุรกิจ (Business Risk): มาจากผลงานของบริษัทที่อาจต่ำกว่าคาดหวัง หรือการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรม
- ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk): บางหุ้นมีปริมาณซื้อขายต่ำ ทำให้ยากต่อการขายในราคาที่ต้องการ
- ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk): สำหรับบริษัทที่มีรายได้ต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนอาจกระทบกำไร
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเสี่ยงเหล่านี้ สามารถดูได้ที่ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
เพื่อรับมือ นักลงทุนควรกระจายพอร์ตไปยังหุ้นหลายตัว หลายอุตสาหกรรม หรือสินทรัพย์อื่นๆ ศึกษางบการเงินบริษัทให้ละเอียด และตั้งจุดตัดขาดทุนเพื่อจำกัดความเสียหาย โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ที่อาจเพิ่มตัวอย่างเช่น การลงทุนในหุ้นธนาคารที่มั่นคงเพื่อลดความผันผวน
เริ่มต้นซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับมือใหม่
หากคุณเป็นมือใหม่ในตลาดไทย ขั้นตอนต่อไปนี้จะช่วยให้คุณเริ่มต้นการซื้อขายได้อย่างเป็นระบบและปลอดภัย
ขั้นตอนที่ 1: เตรียมความพร้อมก่อนลงทุน (เป้าหมาย, เงินทุน, ความรู้)
การลงทุนที่ดีเริ่มจากพื้นฐานที่แข็งแรง ลองถามตัวเองให้ชัดเจนก่อน
- เป้าหมายการลงทุน: คุณลงทุนเพื่ออะไร เช่น วางแผนเกษียณ การศึกษาให้ลูก หรือซื้อที่อยู่อาศัย และระยะเวลาคือสั้น กลาง หรือยาว?
- เงินทุน: มีเงินเท่าไหร่ที่พร้อมเสี่ยง โดยไม่กระทบค่าใช้จ่ายประจำวัน
- ความรู้: คุณเข้าใจพื้นฐานการลงทุนหรือยัง? ถ้ายัง ควรหาความรู้จากแหล่งเชื่อถือได้ก่อน
ขั้นตอนนี้ช่วยให้คุณมีทิศทางชัดเจน ลดโอกาสพลาด
ขั้นตอนที่ 2: เลือกบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) และเปิดบัญชี
คุณต้องเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์หรือโบรกเกอร์ ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวกลางส่งคำสั่งซื้อขายไปยังตลาด
วิธีเลือกโบรกเกอร์:
- ค่าธรรมเนียม: เปรียบเทียบอัตราค่าคอมมิชชั่นและค่าบริการอื่นๆ
- เครื่องมือและแอปพลิเคชัน: ตรวจสอบว่ามีแพลตฟอร์มใช้งานง่าย เช่น แอปซื้อขายที่รวดเร็ว
- บริการเสริม: มีการวิเคราะห์ตลาด บทความ หรือเวิร์กช็อปสำหรับนักลงทุนหรือไม่
- ความน่าเชื่อถือ: เลือกที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. และมีประวัติดี
การเปิดบัญชี: วันนี้หลายโบรกเกอร์รองรับการสมัครออนไลน์ เพียงเตรียมบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน สมุดบัญชีธนาคาร แล้วกรอกข้อมูลตามขั้นตอน บางแห่งใช้การยืนยันตัวตนผ่านแอปหรือวิดีโอคอลเพื่อความสะดวก
ขั้นตอนที่ 3: ทำความเข้าใจระบบซื้อขาย (Streaming App และคำสั่งซื้อขาย)
เมื่อบัญชีพร้อม คุณควรทำความคุ้นเคยกับระบบ โดยเฉพาะ Streaming App ที่เป็นเครื่องมือหลักสำหรับนักลงทุนไทย
การใช้งาน Streaming App เบื้องต้น:
- ดูข้อมูลราคาหุ้นแบบเรียลไทม์: สังเกตราคาปัจจุบัน Bid/Offer และปริมาณซื้อขาย
- ส่งคำสั่งซื้อขาย:
- Market Order (MP): ซื้อหรือขายทันทีที่ราคาตลาดดีที่สุด
- Limit Order (MP-MTL, MP-ATO/ATC): กำหนดราคาที่ต้องการหรือดีกว่า
- ATO/ATC (At The Open/Close): ทำธุรกรรมที่ราคาเปิดหรือปิดตลาด
- ดูพอร์ตการลงทุน: ติดตามสถานะ กำไรขาดทุน และมูลค่ารวม
แนะนำให้ลองใช้บัญชีทดลองหากโบรกเกอร์มี เพื่อฝึกฝนโดยไม่เสี่ยงเงินจริง ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจก่อนลงสนามจริง
ขั้นตอนที่ 4: การวิเคราะห์และเลือกหุ้น (เบื้องต้น)
มือใหม่ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน เริ่มจากวิธีง่ายๆ ที่ช่วยคัดเลือกหุ้นได้ดี
- รู้จักบริษัท: เลือกหุ้นจากธุรกิจที่คุณเข้าใจและเห็นศักยภาพเติบโต เช่น บริษัทค้าปลีกที่คุณใช้บริการบ่อย
- ดูงบการเงินเบื้องต้น: ตรวจสอบรายได้ กำไรสุทธิ และหนี้สินจากรายงานทางการเงิน
- ติดตามข่าวสาร: อ่านข่าวเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และเหตุการณ์ของบริษัท
- ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ถ้าสงสัย ลองคุยกับที่ปรึกษาการลงทุนจากโบรกเกอร์
หลีกเลี่ยงการตัดสินใจจากกระแสชั่วคราวหรือคำแนะนำที่ไม่มีที่มาชัดเจน เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่ไม่จำเป็น
ข้อควรระวังและเคล็ดลับสำหรับนักลงทุนมือใหม่ในตลาดหุ้นไทย
การลงทุนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มาจากการวางแผนและรักษาวินัยอย่างต่อเนื่อง
สิ่งที่มือใหม่มักผิดพลาดและควรหลีกเลี่ยง
จากบทเรียนของนักลงทุนรุ่นพี่ หลายคนเคยสะดุดเพราะข้อผิดพลาดเหล่านี้
- ลงทุนโดยไม่มีความรู้: ตามเพื่อนหรือข่าวลือโดยไม่ตรวจสอบข้อมูลเอง
- ไม่กระจายความเสี่ยง: ทุ่มเงินทั้งหมดในหุ้นตัวเดียวหรืออุตสาหกรรมเดียว
- อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล: ไล่ซื้อตอนราคาพุ่ง (FOMO) และตีตั๋วหนีตอนราคาร่วง (Panic Sell)
- ไม่มีแผนการลงทุน: ซื้อขายแบบสุ่มสี่สุ่มห้า โดยไม่มีจุดกำไรหรือขาดทุนที่ชัด
- ใช้เงินร้อนลงทุน: นำเงินที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันมาเสี่ยง สร้างความเครียดไม่จำเป็น
การหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณรักษาเงินทุนและเรียนรู้จากประสบการณ์จริง
สร้างวินัยการลงทุนและบริหารพอร์ตอย่างมีประสิทธิภาพ
วินัยคือรากฐานของความสำเร็จในตลาดหุ้น ลองนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้
- ลงทุนสม่ำเสมอ: ถ้ามีเงินเพิ่ม ทยอยลงทุนเพื่อเฉลี่ยต้นทุน (Dollar-Cost Averaging) ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากความผันผวน
- ทบทวนพอร์ตลงทุน: ตรวจสอบเป็นระยะ ปรับสมดุลให้สอดคล้องกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับ
- เรียนรู้ไม่หยุดนิ่ง: ตลาดเปลี่ยนแปลงตลอด การอัปเดตความรู้จะทำให้คุณปรับตัวได้ไว เช่น ติดตามเทรนด์เทคโนโลยีที่กระทบอุตสาหกรรม
- มีสติและควบคุมอารมณ์: อย่าปล่อยให้ความกลัวหรือความโลภครอบงำการตัดสินใจ
สรุป: ก้าวแรกสู่การลงทุนในหุ้นอย่างมั่นใจ
การซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เปิดโอกาสให้คุณสร้างความมั่งคั่งและใกล้ชิดเป้าหมายทางการเงินมากขึ้น แต่ต้องเข้าใจและจัดการความเสี่ยงให้ดี สำหรับมือใหม่ การเริ่มต้นด้วยการศึกษาหุ้น ตลาดหลักทรัพย์ และหลักการลงทุนอย่างละเอียด การเลือกโบรกเกอร์ที่เหมาะสม การฝึกใช้ Streaming App และการวิเคราะห์บริษัทเบื้องต้น คือก้าวสำคัญที่ปูทางสู่ความสำเร็จ การรักษาวินัย บริหารพอร์ตอย่างชาญฉลาด และเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง จะทำให้คุณเดินทางในโลกการซื้อขายหุ้นได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ขอให้การลงทุนของคุณราบรื่นและประสบผลดี
1. การซื้อหุ้นใน Streaming App ต้องทำอย่างไรบ้าง?
หลังจากเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์และได้รับ User ID/Password แล้ว คุณสามารถดาวน์โหลด Streaming App จาก App Store หรือ Play Store ล็อกอินเข้าสู่ระบบ จากนั้นไปที่เมนู “ซื้อขาย” หรือ “Trade” เลือกหุ้นที่ต้องการซื้อ ระบุจำนวนหุ้นที่ต้องการ และประเภทคำสั่งซื้อขาย (เช่น Market Order, Limit Order) ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องและกดยืนยันคำสั่งซื้อขาย
2. เล่นหุ้นเริ่มต้นกี่บาท ถึงจะเริ่มลงทุนได้?
ไม่มีจำนวนเงินลงทุนขั้นต่ำที่ตายตัวสำหรับการ “เริ่มต้น” การซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย แต่โดยทั่วไปแล้ว การซื้อขายหุ้นจะมีหน่วยเป็น “ล็อต” ซึ่ง 1 ล็อต เท่ากับ 100 หุ้น ดังนั้น เงินลงทุนเริ่มต้นจะขึ้นอยู่กับราคาหุ้นที่คุณเลือก ตัวอย่างเช่น หากหุ้นราคา 10 บาท คุณจะต้องมีเงินอย่างน้อย 1,000 บาท (ไม่รวมค่าธรรมเนียม) เพื่อซื้อหุ้น 1 ล็อต
3. ถ้าไม่มีความรู้เรื่องหุ้นเลย จะเริ่มศึกษาจากตรงไหนดี?
คุณสามารถเริ่มต้นศึกษาได้จากหลายแหล่ง:
- เว็บไซต์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET): มีข้อมูลความรู้พื้นฐาน หลักสูตร E-Learning และสัมมนาฟรีสำหรับมือใหม่
- โบรกเกอร์: บริษัทหลักทรัพย์ส่วนใหญ่มีบทวิเคราะห์ บทความ และคอร์สเรียนสำหรับลูกค้า
- หนังสือเกี่ยวกับการลงทุน: เลือกหนังสือที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญและเข้าใจง่าย
- ช่อง YouTube/Podcast: มีผู้ให้ความรู้ด้านการลงทุนมากมายที่นำเสนอเนื้อหาที่เข้าใจง่าย
สิ่งสำคัญคือการเลือกแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและค่อย ๆ เรียนรู้ไปทีละขั้นตอน
4. ซื้อหุ้นบริษัทต่างประเทศ (เช่น หุ้นสหรัฐฯ) ทำยังไง?
การซื้อหุ้นบริษัทต่างประเทศโดยตรง เช่น หุ้นสหรัฐฯ ต้องทำผ่านโบรกเกอร์ในประเทศไทยที่ให้บริการซื้อขายหุ้นต่างประเทศ หรือเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ต่างประเทศโดยตรง โบรกเกอร์ไทยบางแห่ง เช่น InnovestX หรือ Pi Financial มีบริการนี้ อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหุ้นต่างประเทศมีความซับซ้อนและมี “ความเสี่ยง” เพิ่มเติม เช่น “ความเสี่ยง” จากอัตราแลกเปลี่ยน ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ
5. ควรเลือกโบรกเกอร์อย่างไรดีสำหรับมือใหม่?
สำหรับมือใหม่ ควรพิจารณาจาก:
- ค่าธรรมเนียม: เลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่เหมาะสม
- ความง่ายในการใช้งาน: แพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน (เช่น Streaming App) ควรใช้งานง่าย มีหน้าตาที่เข้าใจง่าย
- บริการลูกค้า: มีช่องทางติดต่อและเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำที่ดี
- ข้อมูลและความรู้: มีบทวิเคราะห์ บทความ หรือสื่อการเรียนรู้สำหรับนักลงทุนมือใหม่
ลองเปรียบเทียบจากโบรกเกอร์ชั้นนำหลายแห่ง เช่น InnovestX, Pi Financial, Dime, หลักทรัพย์บัวหลวง เป็นต้น
6. มีค่าธรรมเนียมอะไรบ้างในการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย?
ในการซื้อขายหุ้นใน “ตลาดหลักทรัพย์” ไทย จะมีค่าธรรมเนียมหลัก ๆ ดังนี้:
- ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (Brokerage Fee): จ่ายให้กับโบรกเกอร์ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าการซื้อขาย
- ค่าธรรมเนียมตลาดหลักทรัพย์ (Transaction Fee): จ่ายให้ SET
- ค่าธรรมเนียมการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ (Clearing Fee): จ่ายให้ TSD (ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์)
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT): คิดจากค่าธรรมเนียมการซื้อขายและค่าธรรมเนียมการชำระราคา
โดยรวมแล้ว ค่าธรรมเนียมทั้งหมดจะอยู่ประมาณ 0.15% – 0.25% ของมูลค่าการซื้อขาย ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์
7. ถ้าหุ้นที่ซื้อไว้ราคาตกลงมาก ควรมีวิธีจัดการอย่างไร?
หากหุ้นที่ซื้อไว้ราคาตกลง ควรพิจารณาดังนี้:
- ทบทวนเหตุผลการลงทุน: สาเหตุที่ราคาตกเกิดจากอะไร? พื้นฐานบริษัทเปลี่ยนไปหรือไม่?
- ตั้งจุด Stop Loss: หากคุณมีแผนการลงทุนและกำหนดจุดตัดขาดทุนไว้แล้ว ควรปฏิบัติตามแผนอย่างเคร่งครัด
- พิจารณาค่าเฉลี่ย (Dollar-Cost Averaging): หากมั่นใจในพื้นฐาน “บริษัท” และมี “เงินทุน” เพียงพอ อาจพิจารณาซื้อเพิ่มเมื่อราคาลดลงเพื่อลดต้นทุนเฉลี่ย
- ตัดขาดทุน: หากพื้นฐานเปลี่ยนไป หรือ “ความเสี่ยง” เพิ่มขึ้นมากจนรับไม่ได้ การตัดขาดทุนเพื่อรักษาสภาพคล่องไว้ก็เป็นทางเลือกหนึ่ง
8. การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มีความเสี่ยงอะไรบ้างที่สำคัญที่สุดที่มือใหม่ควรรู้?
สำหรับมือใหม่ “ความเสี่ยง” ที่สำคัญที่สุดคือ:
- ความเสี่ยงด้านราคา (Market Risk): ราคาหุ้นผันผวนขึ้นลงตามสภาวะตลาดและข่าวสาร
- ความเสี่ยงด้านธุรกิจ (Business Risk): ผลประกอบการของบริษัทอาจไม่ดีเท่าที่คาด
- ความเสี่ยงจากการไม่มีความรู้: การลงทุนโดยไม่ศึกษาข้อมูลอย่างเพียงพอ นำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด
การทำความเข้าใจ “ความเสี่ยง” เหล่านี้จะช่วยให้คุณเตรียมพร้อมและวางแผนรับมือได้ดีขึ้น
9. มีกฎการซื้อขายหุ้นอะไรบ้างที่มือใหม่ต้องทำความเข้าใจก่อนเริ่ม?
กฎ “การซื้อขายหุ้น” ที่มือใหม่ควรรู้:
- เวลาทำการซื้อขาย: ตลาดหลักทรัพย์ไทยเปิดทำการช่วงเช้า 10:00-12:30 น. และช่วงบ่าย 14:30-16:30 น. (ยกเว้นวันหยุดราชการ)
- ราคา Ceiling & Floor: ราคาหุ้นแต่ละตัวมีกรอบการขึ้นลงสูงสุด-ต่ำสุดในแต่ละวัน (โดยทั่วไป +/- 30% จากราคาปิดวันก่อนหน้า) เพื่อป้องกันการผันผวนที่รุนแรงเกินไป
- T+2 Settlement: การชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์จะใช้เวลา 2 วันทำการหลังวันซื้อขาย (Trade Date + 2 Business Days)
- Margin Call: หากใช้บัญชีมาร์จิ้นลงทุนและมูลค่าหลักประกันลดลงต่ำกว่าที่กำหนด โบรกเกอร์จะเรียกให้เติมหลักประกัน
10. การซื้อขายหลักทรัพย์คืออะไร และแตกต่างจากการซื้อขายหุ้นทั่วไปในตลาดหลักทรัพย์หรือไม่?
“การซื้อขายหลักทรัพย์” เป็นคำที่กว้างกว่า “การซื้อขายหุ้น” หลักทรัพย์ (Securities) หมายถึง ตราสารทางการเงินที่แสดงสิทธิในทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ในกิจการผู้ออก ซึ่งรวมถึงหุ้น พันธบัตร หุ้นกู้ กองทุนรวม และใบสำคัญแสดงสิทธิ เป็นต้น ในขณะที่ “การซื้อขายหุ้น” เป็นส่วนหนึ่งของการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เน้นเฉพาะการซื้อขายตราสารที่แสดงความเป็นเจ้าของใน “บริษัท” การซื้อขายหลักทรัพย์จึงครอบคลุมการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายกว่า
發佈留言
很抱歉,必須登入網站才能發佈留言。