
พันธบัตรหมายถึงอะไร? 7 สิ่งที่นักลงทุนไทยต้องรู้ก่อนเริ่มลงทุน
1. พันธบัตรคืออะไร? ทำความเข้าใจพื้นฐานการลงทุน
พันธบัตรคือเครื่องมือทางการเงินชนิดหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นหลักฐานการกู้ยืมระหว่างผู้ที่ออกพันธบัตรซึ่งเป็นผู้กู้ กับนักลงทุนที่กลายเป็นผู้ให้กู้ เมื่อคุณตัดสินใจซื้อพันธบัตร ก็เท่ากับว่าคุณกำลังปล่อยกู้เงินให้กับหน่วยงานรัฐ องค์กรภาครัฐ หรือธุรกิจเอกชน เพื่อสนับสนุนการดำเนินกิจการหรือโครงการต่างๆ โดยผู้กู้จะให้คำมั่นว่าจะชำระดอกเบี้ยให้คุณในรูปแบบรายงวด ซึ่งเรียกว่าอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว และเมื่อถึงเวลาครบกำหนด พวกเขาจะคืนเงินต้นทั้งหมดตามมูลค่าที่กำหนดไว้

ในบริบทของประเทศไทย พันธบัตรนับเป็นทางเลือกการลงทุนที่ได้รับความไว้วางใจอย่างมาก โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบความปลอดภัยและรายได้ที่คาดการณ์ได้ง่าย มันช่วยให้พอร์ตลงทุนของคุณมีความสมดุลมากขึ้น โดยไม่ต้องพึ่งพาเฉพาะหุ้นกู้จากภาคเอกชนเท่านั้น พันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาลเองก็นับเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนผ่านดอกเบี้ย แต่ต่างกันตรงที่ผู้กู้และระดับความเสี่ยงที่มาพร้อมกัน ซึ่งทำให้การเลือกลงทุนต้องพิจารณาให้รอบคอบ
2. ประเภทของพันธบัตรที่ควรรู้จักในตลาดไทย
ในระบบการเงินของไทย พันธบัตรถูกแบ่งออกเป็นประเภทหลักๆ สองกลุ่มตามผู้ที่ออก ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่ไม่เหมือนกันนักลงทุนควรทำความรู้จักเพื่อเลือกสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง

2.1 พันธบัตรรัฐบาล
พันธบัตรประเภทนี้เกิดจากการออกโดยรัฐบาลไทยหรือหน่วยงานรัฐ เช่น กระทรวงการคลัง หรือธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อรวบรวมเงินทุนสำหรับค่าใช้จ่ายภาครัฐ การสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ หรือการจัดการดุลการคลังที่ขาดดุล จุดแข็งที่ชัดเจนคือระดับความน่าเชื่อถือที่สูงมากและความเสี่ยงต่ำสุดเมื่อเทียบกับตราสารหนี้ตัวอื่นๆ เพราะมีรัฐบาลคอยรับประกัน ดังนั้นโอกาสที่ผู้กู้จะผิดนัดชำระจึงแทบไม่มี นี่ทำให้หลายคนหันมาลงทุนเพื่อปกป้องเงินต้นและรักษาความมั่นคงในพอร์ต แม้ผลตอบแทนอาจไม่โดดเด่นเท่ากับตัวเลือกอื่นๆ จากภาคเอกชน
2.2 หุ้นกู้เอกชน
สำหรับหุ้นกู้จากบริษัทเอกชน มันคือการออกตราสารหนี้เพื่อหาเงินทุนขยายธุรกิจ ลงทุนในโครงการใหม่ หรือจุดประสงค์อื่นๆ ขององค์กร ผลตอบแทนจากหุ้นกู้เหล่านี้มักสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล เพื่อเป็นการชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากความสามารถในการคืนเงินขึ้นอยู่กับสุขภาพทางการเงินและผลประกอบการของบริษัทนั้นๆ ดังนั้น การดูอันดับความน่าเชื่อถือที่ประเมินโดยหน่วยงานอิสระจึงเป็นขั้นตอนที่ขาดไม่ได้ เพื่อวัดความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้กู้ ประเภทนี้จึงเหมาะกับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ในระดับกลางถึงสูง และหวังผลตอบแทนที่มากกว่า
3. ลักษณะสำคัญของพันธบัตร: สิ่งที่นักลงทุนควรรู้
หากคุณเข้าใจลักษณะเด่นของพันธบัตรให้ถ่องแท้ ก็จะช่วยให้การตัดสินใจลงทุนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในตลาดไทยที่ตัวเลือกหลากหลาย

3.1 อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋ว (Coupon Rate) และผลตอบแทน (Yield)
อัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋วคืออัตรากำไรที่ผู้กู้สัญญาจะจ่ายให้ผู้ลงทุนในแต่ละงวดตลอดระยะเวลาของพันธบัตร โดยอิงจากมูลค่าหลักของตั๋ว เช่น ถ้าพันธบัตรมีมูลค่า 1,000 บาทและอัตรา 3% คุณจะได้รับดอกเบี้ย 30 บาทต่อปี
ส่วนผลตอบแทนจริงที่นักลงทุนจะได้ อาจไม่ตรงกับอัตราดอกเบี้ยหน้าตั๋วเสมอไป เพราะราคาพันธบัตรในตลาดปรับตัวตามอุปสงค์และอัตราดอกเบี้ยโดยรวม หากซื้อในราคาต่ำกว่ามูลค่าหลัก ผลตอบแทนจะสูงขึ้น และตรงกันข้ามหากซื้อแพงกว่า สิ่งนี้ทำให้การติดตามตลาดเป็นเรื่องสำคัญ
3.2 วันครบกำหนดไถ่ถอน (Maturity Date) และมูลค่าที่ตราไว้ (Face Value)
วันครบกำหนดคือเวลาที่ผู้กู้ต้องคืนเงินต้นเต็มจำนวนให้ผู้ลงทุน พันธบัตรมีอายุหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่สั้นๆ น้อยกว่า 1 ปี ไปจนถึงยาวนานเกิน 10 ปี ซึ่งอายุเหล่านี้ส่งผลต่อความยืดหยุ่นในการใช้เงินและระดับผลตอบแทนที่คาดหวัง
มูลค่าที่ตราไว้หรือเงินต้นที่กำหนดไว้ คือจำนวนเงินที่ผู้กู้จะคืนเมื่อถึงกำหนด และใช้เป็นฐานในการคำนวณดอกเบี้ยแต่ละงวด
3.3 อันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating)
การให้คะแนนความน่าเชื่อถือคือการวิเคราะห์ความสามารถของผู้กู้ในการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยตรงเวลา โดยหน่วยงานอิสระอย่างทริสเรทติ้งหรือฟิทช์ เรทติ้งส์ คะแนนสูงแสดงถึงความเสี่ยงต่ำและผลตอบแทนที่ไม่สูงมาก ในขณะที่คะแนนต่ำกว่ามักมาพร้อมความเสี่ยงสูงแต่ดึงดูดด้วยผลตอบแทนที่มากกว่า โดยเฉพาะกับหุ้นกู้เอกชน การตรวจสอบคะแนนนี้จึงช่วยลดความไม่แน่นอนในการลงทุน
4. ข้อดีและข้อเสียของการลงทุนในพันธบัตรสำหรับคนไทย
ก่อนจะก้าวเข้าสู่การลงทุนพันธบัตร นักลงทุนชาวไทยควรชั่งน้ำหนักทั้งข้อดีและข้อเสียให้ดี เพื่อให้ตรงกับสถานการณ์ส่วนตัวและเศรษฐกิจโดยรวม
4.1 ข้อดี
พันธบัตรมักจ่ายดอกเบี้ยเป็นประจำ เช่น ทุกสามเดือน หกเดือน หรือปีละครั้ง ซึ่งสร้างกระแสเงินสดที่คาดเดาได้และมั่นคง โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลที่เสี่ยงต่ำมาก ช่วยรักษาเงินต้นได้ดีเยี่ยม นอกจากนี้ มันยังช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ต โดยเคลื่อนไหวตรงข้ามกับหุ้นในบางช่วง ทำให้ภาพรวมผันผวนน้อยลง สำหรับการวางแผนระยะยาว เช่น เตรียมเกษียณหรือค่าเล่าเรียน พันธบัตรอายุยาวก็นับเป็นเครื่องมือที่เหมาะสม
4.2 ข้อเสีย
แม้จะปลอดภัย แต่ผลตอบแทนจากพันธบัตรมักต่ำกว่าการลงทุนในหุ้น โดยเฉพาะในระยะยาว นอกจากนี้ หากอัตราดอกเบี้ยตลาดปรับสูงขึ้น ราคาพันธบัตรเก่าที่ให้ดอกเบี้ยต่ำอาจตกต่ำ ส่งผลให้ผู้ขายก่อนกำหนดขาดทุนได้ เงินเฟ้อที่สูงเกินผลตอบแทนก็อาจกัดกินมูลค่าจริงของเงินที่ได้ บางพันธบัตร โดยเฉพาะหุ้นกู้เอกชน อาจขายต่อยากเพราะสภาพคล่องต่ำ และสำหรับหุ้นกู้ ผู้กู้อาจล้มละลายจนชำระไม่ได้
5. วิธีการลงทุนพันธบัตรในประเทศไทย
ในไทย การเข้าถึงพันธบัตรทำได้สะดวกผ่านหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นตลาดแรกสำหรับตัวใหม่หรือตลาดรองสำหรับตัวเก่า ซึ่งช่วยให้เริ่มต้นได้ไม่ยาก
5.1 ช่องทางการลงทุน
คุณสามารถเลือกซื้อผ่านธนาคารใหญ่ๆ เช่น ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือธนาคารกรุงไทย ที่ทำหน้าที่ตัวแทนจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ใหม่ โดยข้อมูลมักอัปเดตบนเว็บไซต์หรือแอปของธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์หรือโบรกเกอร์ก็เป็นอีกทาง โดยเปิดบัญชีเพื่อซื้อขายทั้งตลาดแรกและรอง สำหรับมือใหม่ กองทุนรวมตราสารหนี้คือตัวเลือกที่ยอดเยี่ยม เพราะรวมเงินจากหลายคนไปลงทุนหลากหลายภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกองทุนรวมตราสารหนี้ ปัจจุบัน แอปอย่าง SCB Easy, K-My Invest หรือแอปจากโบรกเกอร์อื่นๆ ก็ทำให้การลงทุนพันธบัตรง่ายและรวดเร็วขึ้นมาก
5.2 ขั้นตอนการลงทุนเบื้องต้น
เริ่มต้นด้วยการศึกษาข้อมูลพันธบัตรที่สนใจ เช่น ประเภท ผู้กู้ คะแนนความน่าเชื่อถือ อัตราดอกเบี้ย วันครบกำหนด และเงื่อนไขอื่นๆ จากนั้น เปิดบัญชีกับธนาคารหรือโบรกเกอร์ที่ไว้ใจ ติดตามประกาศการออกใหม่ผ่าน สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เว็บธนาคาร หรือผู้กู้ เมื่อถึงเวลาจอง ก็ทำผ่านแอปหรือสาขา สุดท้าย ตรวจสอบดอกเบี้ยที่ได้รับและราคาตลาดหากคิดขายก่อนกำหนด เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น
6. เปรียบเทียบพันธบัตรกับสินทรัพย์การลงทุนอื่นในไทย
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนว่าพันธบัตรวางตำแหน่งอย่างไรในพอร์ตลงทุน เรามาเปรียบเทียบกับตัวเลือกยอดนิยมอื่นๆ ในตลาดไทยกัน
6.1 พันธบัตร vs. เงินฝากประจำ
เงินฝากประจำคือทางเลือกที่เสี่ยงต่ำสุดและให้ผลตอบแทนคงที่ แต่พันธบัตร โดยเฉพาะรัฐบาล มักให้กำไรมากกว่าเล็กน้อยเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนิดหน่อย ในเรื่องสภาพคล่อง เงินฝากถอนก่อนได้แต่ดอกเบี้ยอาจลดลง ขณะที่พันธบัตรต้องขายในตลาดรองซึ่งราคาอาจแกว่งตัว
| คุณสมบัติ | พันธบัตร | เงินฝากประจำ |
| :————— | :————————————- | :————————————— |
| **ผลตอบแทน** | สูงกว่าเงินฝากประจำเล็กน้อย, คงที่ | ต่ำที่สุด, คงที่ |
| **ความเสี่ยง** | ต่ำ (พันธบัตรรัฐบาล) ถึงปานกลาง (หุ้นกู้) | ต่ำที่สุด |
| **สภาพคล่อง** | ซื้อขายในตลาดรองได้, อาจมีข้อจำกัด | ถอนก่อนกำหนดได้ (อาจถูกลดดอกเบี้ย) |
| **การเข้าถึง** | ผ่านธนาคาร, โบรกเกอร์, กองทุนรวม | ผ่านธนาคาร |
6.2 พันธบัตร vs. หุ้น
หุ้นคือส่วนแบ่งความเป็นเจ้าของบริษัท ซึ่งมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรมากในระยะยาว แต่ต้องแลกกับความผันผวนและความเสี่ยงที่รุนแรงกว่า ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงรวดเร็วจากผลประกอบการ เศรษฐกิจ หรือปัจจัยภายนอก ในทางตรงกันข้าม พันธบัตรให้ความคงที่และแกว่งน้อยกว่า ดังนั้น การผสมหุ้นกับพันธบัตรในสัดส่วนที่เหมาะสมจึงเป็นกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงที่นักลงทุนไทยหลายคนนำมาใช้
7. สรุป: พันธบัตรทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจในประเทศไทย
พันธบัตรมีบทบาทสำคัญในการวางแผนการเงินส่วนตัว โดยเฉพาะสำหรับชาวไทยที่ต้องการความมั่นคง รายได้สม่ำเสมอ และการกระจายความเสี่ยง แม้จะไม่ตื่นเต้นเท่าหุ้น แต่ความน่าเชื่อถือในการรักษาเงินต้น โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาล ทำให้มันเป็นฐานที่มั่นคงของพอร์ตลงทุน
เมื่อเข้าใจความหมาย ประเภท คุณสมบัติ ข้อดีข้อเสีย คุณจะตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด โดยคำนึงถึงเป้าหมาย ระยะเวลา และความเสี่ยงที่ยอมรับ การลงทุนนี้ไม่เพียงช่วยให้คุณบรรลุความฝันทางการเงิน แต่ยังสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยด้วย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับพันธบัตรในประเทศไทย
พันธบัตรรัฐบาล 2567 ซื้อยังไง?
การซื้อพันธบัตรรัฐบาลในปี 2567 (หรือปีอื่นๆ) มักทำได้ผ่านช่องทางหลักๆ เช่น ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นตัวแทนจำหน่าย โดยจะมีการประกาศช่วงเวลาและเงื่อนไขการจองซื้อล่วงหน้า ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารได้จากเว็บไซต์ของกระทรวงการคลัง, ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) หรือสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) รวมถึงเว็บไซต์และแอปพลิเคชันของธนาคารต่างๆ ที่เป็นตัวแทน
พันธบัตรรัฐบาล มีอะไรบ้าง และแต่ละแบบต่างกันอย่างไร?
พันธบัตรรัฐบาลในไทยมีหลายประเภท เช่น พันธบัตรออมทรัพย์ (สำหรับรายย่อย), พันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ (ผลตอบแทนอิงกับเงินเฟ้อ), และพันธบัตรทั่วไป แต่ละแบบจะแตกต่างกันที่วัตถุประสงค์การออก, กลุ่มผู้ลงทุนเป้าหมาย, อายุของพันธบัตร, วิธีการคำนวณดอกเบี้ย และเงื่อนไขการไถ่ถอน โดยพันธบัตรออมทรัพย์มักมีเงื่อนไขที่เอื้อประโยชน์ต่อรายย่อยมากกว่า
พันธบัตร กับ หุ้นกู้ ต่างกันยังไง? เลือกแบบไหนดีกว่าสำหรับนักลงทุนไทย?
ความแตกต่างหลักคือ ผู้ออก: พันธบัตรออกโดยรัฐบาล/หน่วยงานรัฐ ส่วนหุ้นกู้ออกโดยบริษัทเอกชน ดังนั้น ความเสี่ยง: พันธบัตรรัฐบาลเสี่ยงต่ำกว่ามาก หุ้นกู้มีความเสี่ยงด้านเครดิตสูงกว่าตามอันดับความน่าเชื่อถือ ผลตอบแทน: หุ้นกู้มักให้ผลตอบแทนสูงกว่าเพื่อชดเชยความเสี่ยง สำหรับนักลงทุนไทย การเลือกขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และเป้าหมายการลงทุน หากเน้นความมั่นคงและรักษามูลค่า ควรเลือกพันธบัตรรัฐบาล หากต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้นและยอมรับความเสี่ยงได้ ควรพิจารณาหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือดี
ลงทุนพันธบัตร ดีไหม? เหมาะกับใครบ้างในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันของไทย?
การลงทุนพันธบัตรยังคงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคงและผลตอบแทนที่คาดการณ์ได้ เหมาะสำหรับ:
- นักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยงสูง
- ผู้ที่ต้องการรักษามูลค่าเงินต้น
- ผู้ที่ต้องการกระแสเงินสดสม่ำเสมอ (จากดอกเบี้ย)
- ผู้ที่ต้องการกระจายความเสี่ยงในพอร์ตลงทุน
- ผู้ที่กำลังวางแผนเกษียณอายุ
ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน พันธบัตรยังเป็นเสาหลักของพอร์ตการลงทุนที่สมดุล
ผลตอบแทนพันธบัตรที่ได้ต้องเสียภาษีไหมในประเทศไทย?
ในประเทศไทย ดอกเบี้ยที่ได้รับจากพันธบัตรและหุ้นกู้ของบริษัทเอกชนจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% สำหรับบุคคลธรรมดา อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลบางประเภท (เช่น พันธบัตรออมทรัพย์) อาจได้รับการยกเว้นภาษีตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด ควรตรวจสอบเงื่อนไขของพันธบัตรแต่ละรุ่นและประกาศของกรมสรรพากรเพื่อความถูกต้อง
จะติดตามข่าวสารการออกพันธบัตรใหม่ๆ ของไทยได้จากที่ไหน?
คุณสามารถติดตามข่าวสารการออกพันธบัตรใหม่ๆ ของไทยได้จากหลายแหล่ง:
- เว็บไซต์กระทรวงการคลัง: สำหรับข้อมูลพันธบัตรรัฐบาล
- เว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT): สำหรับนโยบายและข้อมูลตลาดตราสารหนี้
- เว็บไซต์สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA): มีข้อมูลพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชน
- เว็บไซต์และแอปพลิเคชันของธนาคารพาณิชย์: ที่เป็นตัวแทนจำหน่าย
- เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) และ SET Invest Now: สำหรับข้อมูลหุ้นกู้และกองทุนรวมตราสารหนี้
ถ้าต้องการขายพันธบัตรรัฐบาลก่อนครบกำหนด ต้องทำอย่างไร?
หากต้องการขายพันธบัตรรัฐบาลก่อนครบกำหนด คุณสามารถทำได้โดยการขายใน “ตลาดรอง” ผ่านธนาคารหรือบริษัทหลักทรัพย์ที่คุณเปิดบัญชีไว้ อย่างไรก็ตาม ราคาขายในตลาดรองจะขึ้นอยู่กับสภาวะตลาดในขณะนั้น เช่น อัตราดอกเบี้ยตลาด ซึ่งอาจทำให้คุณได้กำไรหรือขาดทุนจากราคาที่ซื้อมา การขายก่อนกำหนดจึงมีความเสี่ยงด้านราคาที่นักลงทุนควรพิจารณา
พันธบัตรรัฐบาล มีความเสี่ยงอะไรบ้างที่นักลงทุนไทยควรรู้?
แม้พันธบัตรรัฐบาลจะมีความเสี่ยงต่ำ แต่ก็ไม่ใช่ศูนย์:
- ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย: หากอัตราดอกเบี้ยในตลาดเพิ่มขึ้น ราคาพันธบัตรเดิมจะลดลง
- ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ: หากเงินเฟ้อสูงกว่าผลตอบแทนที่ได้รับ อำนาจซื้อที่แท้จริงจะลดลง
- ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง: พันธบัตรบางรุ่นอาจมีสภาพคล่องในตลาดรองจำกัด ทำให้ขายได้ยากหรือต้องขายในราคาที่ไม่พึงพอใจ
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงด้านเครดิต (ผิดนัดชำระหนี้) ของพันธบัตรรัฐบาลนั้นต่ำมาก
ควรลงทุนพันธบัตรเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ในพอร์ตการลงทุน?
สัดส่วนการลงทุนในพันธบัตรขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ, ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้, และเป้าหมายการลงทุน โดยทั่วไป:
- ผู้ที่อายุน้อย/รับความเสี่ยงได้สูง: อาจมีสัดส่วนพันธบัตรน้อย (เช่น 20-40%)
- ผู้ที่ใกล้เกษียณ/รับความเสี่ยงได้ต่ำ: อาจมีสัดส่วนพันธบัตรสูงขึ้น (เช่น 50-70% หรือมากกว่า)
คำแนะนำทั่วไปคือ “กฎ 100 ลบด้วยอายุ” ซึ่งหมายถึงสัดส่วนของหุ้นในพอร์ต (ที่เหลือเป็นพันธบัตร) แต่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนที่เหมาะสมกับตนเอง
พันธบัตรดิจิทัลในไทยมีความแตกต่างจากพันธบัตรทั่วไปอย่างไร?
พันธบัตรดิจิทัล (Digital Bond) เป็นพันธบัตรที่ออกและซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยมักใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) ทำให้กระบวนการซื้อขายมีความรวดเร็ว โปร่งใส และลดต้นทุนลงได้ การลงทุนในพันธบัตรดิจิทัลในไทยมักเข้าถึงได้ง่ายขึ้นผ่านแอปพลิเคชันหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยมีมูลค่าการลงทุนขั้นต่ำที่ต่ำกว่าพันธบัตรทั่วไปบางประเภท อย่างไรก็ตาม หลักการพื้นฐานของพันธบัตรยังคงเหมือนเดิมคือเป็นตราสารหนี้ที่ให้ดอกเบี้ยและคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนด
發佈留言
很抱歉,必須登入網站才能發佈留言。