
s&p 500 คืออะไร? 5 เหตุผลสำคัญที่นักลงทุนไทยไม่ควรมองข้าม
S&P 500 คืออะไร? ความหมายและประวัติความเป็นมา
S&P 500 หรือที่รู้จักกันในชื่อ Standard & Poor’s 500 ถือเป็นดัชนีหุ้นหลักของตลาดทุนสหรัฐอเมริกา ช่วยวัดผลงานของบริษัทขนาดใหญ่ 500 รายที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่นั่น ดัชนีนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ S&P Global บริษัทข้อมูลการเงินชั้นนำระดับโลก

ไอเดียของดัชนีนี้เริ่มก่อตัวตั้งแต่ปี 1923 ก่อนจะขยายตัวเต็มรูปแบบสู่ 500 บริษัทในปี 1957 จากนั้น S&P 500 ก็กลายเป็นเครื่องชี้วัดที่ทุกคนยอมรับในเรื่องความแข็งแกร่งและแนวโน้มของตลาดหุ้นอเมริกัน รวมถึงสะท้อนภาพรวมสุขภาพเศรษฐกิจของชาติด้วย ด้วยการครอบคลุมบริษัทที่มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมต่างๆ ทำให้การลงทุนที่อิงดัชนีนี้ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง
S&P 500 ประกอบด้วยอะไรบ้าง? ทำความเข้าใจองค์ประกอบและเกณฑ์

ดัชนี S&P 500 รวมหุ้นจากบริษัทยักษ์ใหญ่ 500 แห่งที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐ โดยคัดเลือกจากรายชื่อที่มีมูลค่าตลาดสูงและสภาพคล่องดี ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้นำระดับโลก เกณฑ์หลักที่ใช้ในการเลือกบริษัทเหล่านี้มีดังนี้
- มูลค่าตลาด: บริษัทต้องมีมูลค่าตลาดที่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด
- สภาพคล่อง: หุ้นต้องมีการซื้อขายในตลาดสาธารณะอย่างเพียงพอ
- ผลกำไร: ต้องมีกำไรสุทธิเป็นบวกในไตรมาสสี่ช่วงล่าสุด
- สถานะการจดทะเบียน: ต้องอยู่ในตลาดอย่าง NYSE หรือ Nasdaq
- ประเภท: ไม่รวมกลุ่มลงทุน เช่น กองทุนรวมหรือ REITs
การคำนวณดัชนี S&P 500 ใช้ระบบถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาด นั่นหมายความว่าบริษัทขนาดใหญ่จะมีน้ำหนักมากกว่าในการกำหนดทิศทางของดัชนี
ตัวอย่างบริษัทเด่นใน S&P 500:
บริษัทเหล่านี้มักเป็นชื่อที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวันและมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจโลก เช่น Apple, Microsoft, Amazon, Google (Alphabet), Nvidia และ Tesla ซึ่งส่วนใหญ่มาจากภาคเทคโนโลยีและสินค้าอุปโภคบริโภคที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม การมีบริษัทชั้นนำเหล่านี้ทำให้ดัชนี S&P 500 น่าลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มองหาการเติบโตที่มั่นคง
ทำไม S&P 500 ถึงสำคัญต่อการลงทุน?

S&P 500 ไม่ใช่แค่ดัชนีธรรมดา แต่เป็นเครื่องมือที่นักลงทุนทั่วโลก รวมถึงชาวไทย ควรศึกษาอย่างละเอียด ด้วยเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้มันโดดเด่น
- สะท้อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ: ในฐานะมหาอำนาจเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด สหรัฐฯ ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก ดังนั้น S&P 500 จึงเป็นตัวบ่งชี้สำคัญของสุขภาพเศรษฐกิจอเมริกันและแนวโน้มโลก
- ใช้เป็นเกณฑ์เปรียบเทียบ: ผู้จัดการกองทุนและนักลงทุนทั่วไปใช้ S&P 500 เป็นมาตรฐานในการวัดผลตอบแทน หากพอร์ตของตัวเองทำได้ดีกว่าดัชนีนี้ แสดงว่าประสบความสำเร็จเหนือตลาด
- โอกาสเติบโตยั่งยืน: แม้จะผันผวนในระยะสั้น แต่ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นการเติบโตที่แข็งแกร่งในระยะยาว เหมาะสำหรับผู้ที่ลงทุนแบบถือยาวเพื่อผลตอบแทนที่มั่นคง
- ช่วยกระจายความเสี่ยง: การลงทุนใน S&P 500 เท่ากับถือหุ้นจาก 500 บริษัทในอุตสาหกรรมหลากหลาย ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาหุ้นตัวเดียวหรือภาคใดภาคหนึ่ง ทำให้พอร์ตมั่นคงมากขึ้น
จากประสบการณ์ในอดีต เช่น การฟื้นตัวหลังวิกฤตปี 2008 ดัชนีนี้พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างมูลค่าให้กับนักลงทุนที่อดทน
เปรียบเทียบ S&P 500 กับดัชนีอื่นๆ: Dow Jones และ Nasdaq
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีดัชนีสำคัญหลายตัว แต่ S&P 500, Dow Jones Industrial Average (DJIA) และ Nasdaq ต่างมีบทบาทเฉพาะตัวและลักษณะที่แตกต่าง
| คุณสมบัติ | S&P 500 | Dow Jones Industrial Average (DJIA) | Nasdaq Composite / Nasdaq 100 |
|---|---|---|---|
| จำนวนบริษัท | 500 บริษัทขนาดใหญ่ | 30 บริษัทขนาดใหญ่และมีชื่อเสียง | Nasdaq Composite: >3,000 บริษัท / Nasdaq 100: 100 บริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน |
| วิธีการคำนวณ | ถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตลาด (Market Cap-Weighted) | ถ่วงน้ำหนักด้วยราคาหุ้น (Price-Weighted) | ถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตลาด (Market Cap-Weighted) |
| การเป็นตัวแทน | ตัวแทนเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในวงกว้าง ครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม | ตัวแทนบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และเก่าแก่ | เน้นบริษัทเทคโนโลยีและบริษัทเติบโตสูง |
| จุดเด่น | กระจายความเสี่ยงดี, สะท้อนภาพรวมตลาด | เข้าใจง่าย, บริษัทมีเสถียรภาพ | ศักยภาพการเติบโตสูง, เหมาะสำหรับผู้ที่เน้นเทคโนโลยี |
S&P 500 เทียบกับ Dow Jones:
ทั้งสองดัชนีมุ่งไปที่บริษัทใหญ่ แต่ S&P 500 ครอบคลุมถึง 500 ราย ทำให้ภาพรวมตลาดและเศรษฐกิจกว้างกว่า Dow Jones ที่มีแค่ 30 บริษัทและเน้นอุตสาหกรรมดั้งเดิม การคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักมูลค่าตลาดของ S&P 500 ยังช่วยให้สะท้อนขนาดและอิทธิพลของบริษัทได้แม่นยำกว่า
S&P 500 เทียบกับ Nasdaq:
Nasdaq Composite รวมบริษัททั้งหมดในตลาด Nasdaq ซึ่งเน้นเทคโนโลยีและการเติบโต ในขณะที่ Nasdaq 100 เป็นส่วนย่อยจาก 100 บริษัทใหญ่สุดที่ไม่ใช่การเงิน ดัชนี Nasdaq จึงผันผวนมากกว่า S&P 500 ที่กระจายอุตสาหกรรมกว้างกว่า ทำให้ S&P 500 เป็นทางเลือกที่สมดุลสำหรับนักลงทุนที่ต้องการทั้งเติบโตและกระจายความเสี่ยง
วิธีลงทุนใน S&P 500 จากประเทศไทย: ทางเลือกสำหรับนักลงทุนไทย
นักลงทุนชาวไทยที่อยากเข้าถึง S&P 500 มีตัวเลือกหลากหลาย แต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่าง ช่วยให้เลือกได้ตามสไตล์และความสะดวก
5.1 ผ่านกองทุนรวม (Mutual Funds) ในไทย
นี่คือทางที่ง่ายและเข้าถึงได้มากที่สุด โดยเฉพาะมือใหม่ ธนาคารและบริษัทจัดการกองทุน (บลจ.) ในไทยหลายแห่งมีกองทุน Feeder Fund ที่ลงทุนต่อยอดไปยัง ETF หรือกองทุนต่างประเทศที่ติดตาม S&P 500
- ตัวอย่าง บลจ. ที่มีกองทุน S&P 500:
SCB Asset Management (บลจ.ไทยพาณิชย์)
KBank Asset Management (บลจ.กสิกรไทย)
One Asset Management (บลจ.วรรณ)
และบลจ.อื่นๆ (ควรตรวจสอบผลิตภัณฑ์ล่าสุดจาก บลจ. ที่สนใจ)
- ข้อดี:
สะดวก: ซื้อขายผ่านบัญชีกองทุนในประเทศ ไม่ยุ่งยากกับบัญชีต่างชาติ
เริ่มต้นง่าย: เหมาะสำหรับผู้ไม่มีประสบการณ์มาก
มีผู้ดูแล: ผู้จัดการกองทุนช่วยบริหารให้
- ข้อเสีย:
ค่าธรรมเนียม: สูงกว่าการลงทุนตรงใน ETF
สกุลเงิน: อาจมีค่าแปลงเงินบาทเป็นดอลลาร์และกลับ
โครงสร้าง: ลงทุนผ่านสองชั้น ทำให้ซับซ้อน
5.2 ผ่าน ETF ในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ
หากอยากได้ค่าธรรมเนียมต่ำและสภาพคล่องสูง การซื้อ ETF ที่ติดตาม S&P 500 โดยตรงในตลาดต่างประเทศคือทางเลือกที่น่าสนใจ
- ตัวอย่าง ETF ยอดนิยม:
SPY (SPDR S&P 500 ETF Trust): ETF ที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุด
IVV (iShares Core S&P 500 ETF): จาก BlackRock
VOO (Vanguard S&P 500 ETF): จาก Vanguard ค่าธรรมเนียมต่ำเป็นพิเศษ
- วิธีลงทุน:
เปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ต่างประเทศที่รองรับนักลงทุนไทย เช่น Interactive Brokers หรือ Saxo Bank (ตรวจสอบเงื่อนไขแต่ละราย)
- ข้อดี:
ค่าธรรมเนียมต่ำ: ต่ำกว่ากองทุนไทยทั่วไป
สภาพคล่อง: ซื้อขายได้ตลอดเวลาทำการ
ผลตอบแทน: ใกล้เคียงดัชนีมากที่สุด
- ข้อเสีย:
เปิดบัญชี: ขั้นตอนยุ่งยากกว่า
ภาษี: ต้องจัดการเอง อาจซับซ้อน
สกุลเงิน: เผชิญความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเต็มๆ
5.3 ผ่านแพลตฟอร์ม Wealth Management (Robo-Advisor) ในไทย
ทางเลือกนี้กำลังมาแรงสำหรับคนที่อยากให้ระบบช่วยจัดการพอร์ตแบบอัตโนมัติ
- ตัวอย่างแพลตฟอร์ม:
StashAway, Finnomena (ตรวจสอบว่ามีผลิตภัณฑ์ S&P 500 สำหรับไทยหรือไม่)
- วิธีลงทุน:
สมัครและกำหนดเป้าหมาย ระบบจะจัดสรรและดูแลพอร์ตให้
- ข้อดี:
สะดวก: ระบบช่วยจัดการทั้งหมด
กระจายเสี่ยง: พอร์ตมักกระจายดี
โปร่งใส: ค่าธรรมเนียมชัดเจน
- ข้อเสีย:
ยืดหยุ่นน้อย: เลือกสินทรัพย์เองไม่ได้
ค่าธรรมเนียม: อาจสูงกว่า ETF เล็กน้อย
ภาษีและการลงทุน S&P 500 สำหรับคนไทย
ไม่ว่าจะลงทุนผ่านช่องทางไหน นักลงทุนไทยต้องเข้าใจกฎภาษีไทย โดยเฉพาะเงินปันผลและกำไรทุน
เงินปันผล (Dividend Income):
- หักภาษี ณ ที่จ่าย: ถ้าลงทุนตรงใน ETF หรือหุ้นสหรัฐ สหรัฐฯ หักภาษี 15% หากยื่น W-8BEN (บุคคลธรรมดา) หรือ W-8BEN-E (นิติบุคคล) ตามสนธิสัญญาภาษีไทย-สหรัฐฯ ถ้าไม่ยื่น หัก 30%
- ภาษีไทย: เงินปันผลจากต่างประเทศเข้าข่ายมาตรา 40(4)(ข) ต้องรวมคำนวณภาษีบุคคลธรรมดา แต่สามารถเครดิตภาษีที่หักในสหรัฐฯ ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีซ้ำซ้อน
กำไรจากทุน (Capital Gains):
- ลงทุนตรงต่างประเทศ: กำไรจากการขาย ETF หรือหุ้น ถ้านำเงินกลับไทยในปีเดียวกัน ต้องรวมคำนวณภาษีบุคคลธรรมดา
- ผ่านกองทุนรวมไทย (Feeder Fund): กำไรจากการขายหน่วยกองทุนไทยที่ลงทุน S&P 500 มักยกเว้นภาษีกำไรทุน หากเป็นกองทุนจดทะเบียนในไทย (ยกเว้นกองทุนอสังหาฯ และโครงสร้างพื้นฐาน)
คำแนะนำ:
กฎภาษีอาจเปลี่ยนแปลง และการตีความแตกต่างได้ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญภาษีเพื่อคำแนะนำเฉพาะบุคคล ดูข้อมูลเพิ่มจาก เว็บไซต์กรมสรรพากร (Revenue Department)
ความเสี่ยงที่ควรพิจารณาก่อนลงทุน S&P 500
ถึงแม้ S&P 500 จะมีศักยภาพเติบโตและกระจายเสี่ยงดี แต่ก็มีความเสี่ยงที่นักลงทุนไทยควรรู้ก่อนลงมือ
- ความเสี่ยงตลาด: ราคาหุ้นผันผวนตามเศรษฐกิจ การเมือง หรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด
- ความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน: ลงทุนในดอลลาร์สหรัฐฯ ถ้าเงินบาทแข็งค่า ผลตอบแทนในบาทอาจลดลง
- ความเสี่ยงการเมืองและเศรษฐกิจ: สหรัฐฯ มั่นคงแต่การเปลี่ยนนโยบายหรือภาวะถดถอยอาจกระทบบริษัทในดัชนี
- ความเสี่ยงกระจุกตัว: แม้กระจาย 500 บริษัท แต่ยังเน้นตลาดสหรัฐฯ ถ้าวิกฤตกระทบสหรัฐฯ โดยตรง ผลกระทบจะรุนแรง
ตัวอย่างเช่น ในช่วงโควิด-19 ดัชนีเคยร่วงหนัก แต่ฟื้นตัวได้ดีในระยะหลัง แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นแต่ก็เตือนถึงความผันผวน
สรุปและแนวคิดสำหรับนักลงทุนไทย
S&P 500 คือดัชนีที่ทรงพลังและเป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนไทยที่อยากกระจายพอร์ตสู่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งใหญ่และเติบโตยั่งยืน การลงทุนนี้ช่วยให้ถือหุ้นบริษัทชั้นนำ 500 รายพร้อมกัน ลดความเสี่ยงจากหุ้นเดี่ยว และมีผลตอบแทนยอดเยี่ยมมาอย่างยาวนาน
สำหรับชาวไทย การเลือกช่องทางที่เหมาะกับความรู้ ประสบการณ์ และระดับเสี่ยงที่ยอมรับได้คือกุญแจ ไม่ว่าจะกองทุนรวมที่สะดวก ETF ที่ประหยัด หรือ Robo-Advisor ที่อัตโนมัติ การเข้าใจภาษีและเสี่ยงต่างๆ ก็ขาดไม่ได้
แนะนำให้ศึกษาละเอียดก่อนเริ่ม และมองเป้าหมายระยะยาว ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) มีข้อมูลและคอร์สสำหรับมือใหม่ การลงทุน S&P 500 สามารถช่วยพอร์ตเติบโตมั่นคง หากวางแผนดี
S&P 500 คืออะไร และแตกต่างจากดัชนี SET ของไทยอย่างไร?
S&P 500 คือดัชนีที่สะท้อนผลการดำเนินงานของ 500 บริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยใช้การถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าตลาด
ส่วนดัชนี SET (SET Index) คือดัชนีที่สะท้อนภาพรวมของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยรวมราคาหุ้นของบริษัททั้งหมดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ความแตกต่างหลักคือ S&P 500 เป็นตัวแทนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีขนาดใหญ่และหลากหลายกว่า ในขณะที่ SET Index เป็นตัวแทนของตลาดหุ้นไทยที่เล็กกว่าและมักได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก
รายชื่อหุ้น 500 บริษัทใน S&P 500 มีอะไรบ้าง และมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร?
รายชื่อหุ้นใน S&P 500 ประกอบด้วยบริษัทชั้นนำระดับโลก เช่น Apple, Microsoft, Amazon, Google (Alphabet), Nvidia, Tesla และอื่นๆ อีกมากมาย
รายชื่อเหล่านี้ไม่คงที่ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ โดยคณะกรรมการของ S&P Global จะพิจารณาทบทวนและปรับเปลี่ยนรายชื่อหุ้นเป็นประจำทุกไตรมาสหรือเมื่อจำเป็น เพื่อให้มั่นใจว่าดัชนียังคงสะท้อนภาพรวมของตลาดได้อย่างแม่นยำตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้
ในประเทศไทย มีช่องทางไหนบ้างในการลงทุน S&P 500 และควรเลือกแบบไหนดี?
ช่องทางการลงทุน S&P 500 ในประเทศไทย ได้แก่:
- ผ่านกองทุนรวม (Feeder Fund) ของ บลจ. ในไทย: สะดวกที่สุด เหมาะสำหรับมือใหม่
- ผ่าน ETF ในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการค่าธรรมเนียมต่ำและสภาพคล่องสูง
- ผ่านแพลตฟอร์ม Wealth Management (Robo-Advisor) ในไทย: สำหรับผู้ที่ต้องการการจัดการพอร์ตแบบอัตโนมัติ
การเลือกช่องทางขึ้นอยู่กับความรู้ ประสบการณ์ ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และค่าธรรมเนียมที่พร้อมจ่าย
หากลงทุน S&P 500 ผ่านกองทุนรวมในไทย จะต้องเสียค่าธรรมเนียมอะไรบ้าง?
โดยทั่วไปแล้ว การลงทุนผ่านกองทุนรวมในไทยที่ลงทุนใน S&P 500 อาจมีค่าธรรมเนียมหลักๆ ดังนี้:
- ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee): หักจากมูลค่าทรัพย์สินของกองทุนเป็นรายปี
- ค่าธรรมเนียมการซื้อ (Front-end Fee): หัก ณ วันที่ซื้อหน่วยลงทุน
- ค่าธรรมเนียมการขายคืน (Back-end Fee): หัก ณ วันที่ขายคืนหน่วยลงทุน (บางกองทุนอาจไม่มี)
- ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ (Trustee Fee):
- ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของกองทุน: เช่น ค่าธรรมเนียมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
ลงทุนใน S&P 500 แล้วได้กำไรหรือปันผล จะต้องเสียภาษีในประเทศไทยอย่างไร?
- เงินปันผล: หากลงทุนตรงในต่างประเทศ จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในสหรัฐฯ (15% หรือ 30%) และต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในไทย โดยสามารถนำภาษีที่ถูกหักในสหรัฐฯ มาเครดิตได้
- กำไรจากทุน: หากลงทุนตรงในต่างประเทศ และนำกำไรกลับเข้าไทยในปีภาษีเดียวกัน ต้องนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในไทย แต่หากลงทุนผ่านกองทุนรวมในไทย กำไรจากทุนมักจะได้รับการยกเว้นภาษี
แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อคำแนะนำที่ถูกต้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ส่วนบุคคล
กองทุน S&P 500 ตัวไหนดี 2566 ที่แนะนำสำหรับนักลงทุนมือใหม่ในไทย?
การแนะนำกองทุนเฉพาะเจาะจงควรพิจารณาจากนโยบายการลงทุน ค่าธรรมเนียม และผลการดำเนินงานในอดีต รวมถึงความเสี่ยงที่นักลงทุนแต่ละคนยอมรับได้
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ ควรเริ่มต้นด้วยการศึกษาข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำในไทย เช่น SCBAM, KAsset, OneAM ที่มีกองทุน Feeder Fund ลงทุนใน S&P 500 และเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมและนโยบายก่อนตัดสินใจลงทุน
การลงทุนใน S&P 500 มีความเสี่ยงอะไรบ้างที่นักลงทุนไทยควรทราบ?
ความเสี่ยงที่สำคัญ ได้แก่:
- ความเสี่ยงตลาด: ราคาหุ้นผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจและข่าวสาร
- ความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน: ผลตอบแทนในรูปเงินบาทอาจได้รับผลกระทบจากการแข็งค่าหรืออ่อนค่าของเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ
- ความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ: การเปลี่ยนแปลงนโยบายหรือภาวะเศรษฐกิจถดถอยของสหรัฐฯ หรือทั่วโลก
- ความเสี่ยงจากการกระจุกตัว: แม้จะกระจายใน 500 บริษัท แต่ก็ยังเป็นการลงทุนที่เน้นตลาดสหรัฐฯ
S&P 500 เป็นหุ้น หรือกองทุน หรือดัชนีกันแน่?
S&P 500 เป็น ดัชนี (Index) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ประกอบด้วยหุ้น 500 ตัว
คุณไม่สามารถ “ซื้อ” S&P 500 ได้โดยตรง แต่คุณสามารถลงทุนในผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่อ้างอิงกับดัชนีนี้ได้ เช่น กองทุนรวม (Mutual Funds) หรือ กองทุน ETF (Exchange Traded Funds) ซึ่งเป็นกองทุนที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้น
ถ้าต้องการซื้อหุ้นรายตัวที่อยู่ใน S&P 500 โดยตรงจากประเทศไทย ทำได้หรือไม่?
ทำได้
นักลงทุนไทยสามารถซื้อหุ้นรายตัวที่อยู่ใน S&P 500 โดยตรงได้ โดยการเปิดบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ในต่างประเทศที่ให้บริการซื้อขายหุ้นสหรัฐฯ เช่น Interactive Brokers หรือ Saxo Bank จากนั้นจึงโอนเงินไปลงทุนและซื้อขายหุ้นได้ตามต้องการ วิธีนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์และความเข้าใจในตลาดหุ้นต่างประเทศ
S&P 500 มีผลต่อเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยอย่างไร?
S&P 500 เป็นตัวสะท้อนสุขภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก
- ต่อเศรษฐกิจโลก: หาก S&P 500 มีผลงานที่ดี บ่งชี้ว่าบริษัทชั้นนำของโลกกำลังเติบโต ซึ่งส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก และกระตุ้นการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ
- ต่อเศรษฐกิจไทย: แม้จะไม่ส่งผลโดยตรง แต่หาก S&P 500 แข็งแกร่ง อาจส่งผลให้ตลาดหุ้นและเศรษฐกิจไทยได้รับอานิสงส์ทางอ้อมจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและการค้าที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนไทยที่ถือครอง S&P 500 ก็จะได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากผลตอบแทนที่เกิดขึ้น
發佈留言
很抱歉,必須登入網站才能發佈留言。