เลเวอเรจ 1:100 คืออะไร? กุญแจสู่การเทรดทำกำไรสูง พร้อม 7 ข้อควรรู้สำหรับนักลงทุนไทย

ทำความเข้าใจเลเวอเรจ 1:100 – กุญแจสู่การเทรดที่มีประสิทธิภาพ

ในโลกของตลาดการเงินที่เต็มไปด้วยความผันผวน การใช้เครื่องมือทางการเงินอย่างมีสติและเข้าใจกลไกพื้นฐานคือหัวใจสำคัญของการลงทุนที่ยั่งยืน หนึ่งในเครื่องมือที่นักเทรดมักกล่าวถึงและใช้งานกันอย่างแพร่หลายคือ “เลเวอเรจ” หรือที่เรียกว่าอัตราทด ซึ่งช่วยให้ผู้ลงทุนสามารถควบคุมตำแหน่งการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินทุนจริงในบัญชีได้หลายเท่า โดยเฉพาะในตลาดฟอเร็กซ์ CFD หรือแม้แต่คริปโตเคอร์เรนซี การใช้เลเวอเรจ 1:100 ได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่นักลงทุนหลายคนให้ความสนใจ ทั้งในฐานะโอกาสในการทำกำไร และในมุมกลับกันก็คือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหากไม่รู้จักจัดการอย่างเหมาะสม

ภาพนักเทรดใช้คันโยกเลเวอเรจ 1:100 ในการซื้อขายในตลาดที่ผันผวน

เลเวอเรจไม่ใช่แค่ตัวเลขที่ดูน่าตื่นเต้น แต่เป็นแนวทางที่ต้องเข้าใจอย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนชาวไทยที่อาจเพิ่งก้าวเข้าสู่ตลาดโลก หลายคนมองว่าการใช้เลเวอเรจคือการ “ยืมเงินเพื่อทำกำไร” ซึ่งก็ไม่ผิดนัก แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือการตระหนักว่า ทุกครั้งที่คุณใช้เลเวอเรจ คุณไม่ได้เพิ่มแค่ศักยภาพทำกำไร แต่ยังเพิ่มแรงกระแทกของความเสี่ยงด้วยเช่นกัน บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงความหมาย กลไกการทำงาน ข้อดี-ข้อเสีย และแนวทางการใช้เลเวอเรจ 1:100 อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ โดยเน้นบริบทของนักลงทุนไทย และสิ่งที่ควรระวังเป็นพิเศษในการเลือกโบรกเกอร์ รวมถึงการจัดการอารมณ์ในการเทรด

เลเวอเรจคืออะไร? หลักการพื้นฐานที่ต้องรู้

เลเวอเรจ หรือ “อัตราทด” คือเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยให้คุณสามารถเปิดสถานะการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินทุนที่มีอยู่จริงในบัญชี โดยอาศัยการยืมเงินจากโบรกเกอร์ กลไกนี้คล้ายกับการกู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อซื้อสินทรัพย์ เช่น บ้านหรือที่ดิน คุณวางเงินดาวน์เพียงส่วนหนึ่ง แล้วใช้สินเชื่อเพื่อครอบครองสิ่งที่มีมูลค่ามากกว่าตัวเองหลายเท่า ในตลาดการเงิน เลเวอเรจทำหน้าที่เดียวกัน โดยช่วยให้คุณเข้าถึงตำแหน่งขนาดใหญ่ในตลาดฟอเร็กซ์หรือ CFD ได้โดยไม่ต้องมีเงินทุนเต็มจำนวน

นักลงทุนชาวไทยศึกษากราฟการซื้อขายและเข้าใจการใช้เลเวอเรจ 1:100 อย่างรอบคอบ

สิ่งที่มาพร้อมกับเลเวอเรจอย่างแยกไม่ออกคือ “มาร์จิ้น” หรือเงินประกัน ซึ่งคือจำนวนเงินที่คุณต้องสำรองไว้ในบัญชีเพื่อเปิดและคงสถานะการซื้อขายไว้ โบรกเกอร์จะใช้เงินส่วนนี้เป็นหลักประกัน เพื่อป้องกันตัวเองในกรณีที่ราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ทำให้คุณขาดทุน ความสัมพันธ์ระหว่างเลเวอเรจกับมาร์จิ้นเป็นแบบผกผัน ยิ่งเลเวอเรจสูง คุณก็ยิ่งใช้เงินมาร์จิ้นน้อยลงเพื่อควบคุมตำแหน่งขนาดเดียวกัน

ตัวอย่างเช่น หากคุณต้องการเปิดสถานะมูลค่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ

  • เลเวอเรจ 1:10 ต้องวางมาร์จิ้น 10,000 ดอลลาร์ (10%)
  • เลเวอเรจ 1:100 ต้องวางมาร์จิ้นเพียง 1,000 ดอลลาร์ (1%)

นี่คือเหตุผลที่เลเวอเรจเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนที่มีเงินทุนจำกัด แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า เมื่อมาร์จิ้นต่ำ การเปลี่ยนแปลงของราคาเพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลต่อบัญชีของคุณได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ทั้งกำไรและขาดทุนถูกขยายออกไปในทันที

เจาะลึกเลเวอเรจ 1:100 คืออะไร และทำงานอย่างไร?

เลเวอเรจ 1:100 หมายความว่า ทุก 1 บาทที่คุณมีในบัญชี คุณสามารถควบคุมการซื้อขายที่มีมูลค่าถึง 100 บาท หรือพูดอีกนัยหนึ่ง คุณใช้เงินทุนเพียง 1% ของมูลค่าตำแหน่งทั้งหมด ซึ่งทำให้เป็นอัตราส่วนที่สมดุลระหว่างความยืดหยุ่นทางการเงินกับความสามารถในการบริหารความเสี่ยง

ภาพมือเล็กใช้คันโยกเลเวอเรจเพื่อยกมูลค่าการซื้อขายขนาดใหญ่ แสดงหลักการยืมเงินจากโบรกเกอร์

ลองดูตัวอย่างการคำนวณในสถานการณ์จริง: สมมติว่าคุณต้องการเปิดสถานะซื้อขายคู่สกุลเงิน EUR/USD ขนาด 1 Lot มาตรฐาน (เท่ากับ 100,000 ยูโร) และบัญชีของคุณใช้เลเวอเรจ 1:100

  • มูลค่าการซื้อขาย: 100,000 EUR
  • มาร์จิ้นที่ต้องใช้: 100,000 / 100 = 1,000 EUR

ดังนั้น คุณต้องมีเงินอย่างน้อย 1,000 ยูโร (หรือเทียบเท่าในสกุลเงินบัญชี) เพื่อเปิดตำแหน่งนี้

ตารางด้านล่างแสดงการเปรียบเทียบมาร์จิ้นที่ใช้ในแต่ละระดับเลเวอเรจ สำหรับตำแหน่งมูลค่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ:

อัตราส่วนเลเวอเรจ มาร์จิ้นที่ต้องใช้ (USD)
1:10 10,000
1:50 2,000
1:100 1,000
1:200 500
1:500
Author photo

發佈留言