
ปริมาณเงินในความหมายอย่างแคบ (M1) คืออะไร ทำไมถึงสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยและชีวิตประจำวันของคุณ?
บทนำ: ทำความเข้าใจ “ปริมาณเงินในความหมายอย่างแคบ” (M1)
ในยุคเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เงินไม่ใช่แค่เครื่องมือแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการเท่านั้น แต่ยังเป็นฟันเฟืองหลักที่ขับเคลื่อนทุกกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายประจำวันหรือการวางแผนนโยบายระดับชาติ การรู้จักปริมาณเงินในระบบจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคน ตั้งแต่คนทั่วไปที่อยากเข้าใจค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ไปจนถึงนักกำหนดนโยบายที่ต้องดูแลเสถียรภาพเศรษฐกิจ บทความนี้จะพาคุณสำรวจลึกเข้าไปในตัวชี้วัดปริมาณเงินที่พื้นฐานที่สุดอย่าง “ปริมาณเงินในความหมายอย่างแคบ” หรือ M1 ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดสภาพคล่องและกำลังซื้อในเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน การเข้าใจ M1 จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมของเงินที่ไหลเวียนในตลาด บทบาทของธนาคารแห่งประเทศไทยในการควบคุม และผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงต่อชีวิตประจำวันของประชาชนและผู้ประกอบการ

ปริมาณเงินในความหมายอย่างแคบ (M1) คืออะไร?
ปริมาณเงินในความหมายอย่างแคบ หรือที่เรียกกันว่า M1 คือตัววัดปริมาณเงินที่มีความคล่องตัวสูงสุด สามารถนำไปใช้จ่ายได้ทันทีในระบบเศรษฐกิจ M1 สะท้อนถึงเงินที่กำลังหมุนเวียนอยู่ในมือของประชาชนและภาคธุรกิจ ซึ่งพร้อมสำหรับการชำระหนี้ การซื้อของ หรือการทำธุรกรรมต่าง ๆ โดยไม่ต้องรอการแปลงรูปแบบ

นิยามและแนวคิดพื้นฐาน
M1 ถูกกำหนดให้เป็นเงินที่มีสภาพคล่องสูงสุด เพราะรวมเฉพาะสินทรัพย์ที่นำไปแลกเปลี่ยนได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนเพิ่มเติม คำว่า “แคบ” ในบริบทนี้หมายถึงการมุ่งเน้นเฉพาะส่วนที่คล่องตัวมากที่สุด ซึ่งต่างจากตัววัดที่กว้างกว่าอย่าง M2 หรือ M3 ที่ครอบคลุมสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ ที่ใช้เวลาหรือมีเงื่อนไขมากกว่า การทำความเข้าใจส่วนประกอบของ M1 จึงช่วยให้เราวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจภาพใหญ่ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในแง่ของการไหลเวียนเงินที่ส่งผลต่อการเติบโตและเสถียรภาพ
องค์ประกอบหลักของปริมาณเงิน M1: เงินสดและเงินฝาก
M1 ประกอบด้วยส่วนสำคัญสองส่วนหลัก คือเงินสดที่ประชาชนถือครองและเงินฝากกระแสรายวัน สิ่งเหล่านี้ล้วนมีจุดเด่นร่วมกันคือความสามารถในการนำไปใช้ได้ทันที ทำให้ M1 เป็นตัวแทนของเงินที่พร้อมสำหรับกิจกรรมเศรษฐกิจในทันใด

เงินสดในมือประชาชน (Currency in Circulation)
เงินสดในมือประชาชน ครอบคลุมถึงเหรียญกษาปณ์และธนบัตรที่บุคคลทั่วไปหรือองค์กรต่าง ๆ ถือไว้ นอกเหนือจากระบบธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันหรือสำหรับดำเนินธุรกิจ เงินสดถือเป็นรูปแบบที่มีสภาพคล่องสูงสุด เพราะสามารถใช้จ่ายได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการใด ๆ ในประเทศไทย ธนบัตรและเหรียญที่ธนาคารแห่งประเทศไทยผลิตและแจกจ่าย มีบทบาทสำคัญในการทำธุรกรรมขนาดเล็ก เช่น การซื้อของในตลาดหรือร้านค้าปลีก ซึ่งช่วยให้เศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่การเข้าถึงธนาคารอาจจำกัด
เงินฝากกระแสรายวัน (Demand Deposits)
เงินฝากกระแสรายวัน หรือที่รู้จักในชื่อบัญชีเดินสะพัด คือเงินที่ฝากไว้ในธนาคารและสามารถถอนหรือใช้ได้ทันที โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเวลา หรือสั่งจ่ายผ่านเช็คได้ตามต้องการ รวมถึงเงินฝากของภาคเอกชนในธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินอื่น ๆ ที่รับฝากประเภทนี้ แม้จะไม่ได้อยู่ในรูปเงินสด แต่เงินส่วนนี้ก็มีความคล่องตัวใกล้เคียงกัน เพราะเจ้าของสามารถเข้าถึงผ่านการถอนเงิน โอนย้าย หรือใช้บัตรเดบิตในการชำระค่าสินค้าและบริการได้ทุกเมื่อ ซึ่งในยุคดิจิทัล ทำให้การใช้เงินฝากประเภทนี้สะดวกยิ่งขึ้น
ทำไม M1 ถึงสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย?
M1 ถือเป็นตัวชี้วัดที่ขาดไม่ได้ในการติดตามความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจไทย เพราะช่วยสะท้อนถึงระดับการใช้จ่ายและมีอิทธิพลโดยตรงต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งนำไปสู่การปรับตัวของเศรษฐกิจโดยรวม
ตัวบ่งชี้สภาพคล่องและการใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจ
M1 ทำหน้าที่เป็นสัญญาณหลักที่บอกถึงสภาพคล่องในระบบและปริมาณการใช้จ่ายจริงในแต่ละวัน การเปลี่ยนแปลงของ M1 ไม่ว่าจะเพิ่มหรือลดลง มักบ่งบอกถึงการปรับตัวของกำลังซื้อและกิจกรรมเศรษฐกิจ หาก M1 ขยายตัว แสดงว่ามีเงินสดและเงินฝากที่พร้อมใช้มากขึ้น ซึ่งอาจกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนให้คึกคัก ในทางตรงกันข้าม ถ้า M1 หดตัว อาจเป็นสัญญาณของการชะลอตัว สภาพคล่องที่ตึงตัว และความต้องการใช้จ่ายที่อ่อนแอลง ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของประเทศโดยรวม เช่น ในช่วงฟื้นตัวหลังวิกฤต เศรษฐกิจไทยเคยเห็น M1 เพิ่มขึ้นเพื่อช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย
ความสัมพันธ์กับนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย
ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ในฐานะหน่วยงานหลักที่กำกับดูแลนโยบายการเงิน ติดตาม M1 อย่างใกล้ชิดเพราะเป็นปัจจัยสำคัญในการวางแผนเพื่อรักษาเสถียรภาพ การเคลื่อนไหวของ M1 สามารถเตือนถึงความเสี่ยงของเงินเฟ้อหรือเงินฝืดที่อาจเกิด หาก M1 พุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง อาจนำไปสู่เงินเฟ้อจากเงินที่ล้นระบบ ธปท. จึงอาจใช้มาตรการเข้มงวด เช่น ยกระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อชะลอการไหลเวียนเงินและควบคุมราคา แต่ถ้า M1 ลดลงชัดเจนและเศรษฐกิจซบเซา ธปท. อาจผ่อนคลายนโยบาย เช่น ลดดอกเบี้ย เพื่อส่งเสริมการใช้จ่ายและการลงทุน รายงานสถิติเศรษฐกิจและการเงินจากธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นแหล่งข้อมูลหลักที่ทั้งนักวิเคราะห์และประชาชนสามารถตรวจสอบ M1 และตัววัดอื่น ๆ ได้ ดูข้อมูลปริมาณเงินจาก ธปท.
ความแตกต่างระหว่าง M1, M2 และ M3: ภาพรวมของปริมาณเงิน
นอกจาก M1 แล้ว ยังมีตัววัดปริมาณเงินที่ครอบคลุมกว่านั้นอย่าง M2 และ M3 ซึ่งช่วยให้เราเห็นภาพใหญ่ของสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจได้ครบถ้วนยิ่งขึ้น โดยแต่ละระดับช่วยตอบคำถามต่างกันตามระยะเวลาและขอบเขต
M2: ปริมาณเงินในความหมายอย่างกว้าง
M2 ซึ่งเป็นปริมาณเงินในความหมายกว้าง รวม M1 เข้ากับเงินฝากที่มีสภาพคล่องรองลงมา หรือที่เรียกกันว่าเงินเกือบสภาพคล่อง เช่น เงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำของภาคเอกชนในธนาคารพาณิชย์ เงินเหล่านี้ไม่สามารถใช้จ่ายได้ทันทีเหมือนเงินสดหรือเงินฝากกระแสรายวัน แต่แปลงเป็นเงินสดได้ง่ายและรวดเร็ว โดยมีต้นทุนหรือความเสี่ยงต่ำ M2 จึงให้มุมมองที่กว้างกว่าในการประเมินกำลังซื้อ และมักนำมาใช้ติดตามแนวโน้มเงินเฟ้อในช่วงกลาง ๆ เช่น ในไทย M2 ช่วยนักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์การเติบโตที่ยั่งยืน
M3: ปริมาณเงินที่กว้างที่สุด
M3 คือตัววัดที่ครอบคลุมที่สุด โดยรวม M2 เข้ากับสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ ที่คล่องตัวน้อยกว่า เช่น ตั๋วสัญญาใช้เงินและเงินฝากในสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ M3 ช่วยให้เห็นภาพรวมของเงินทั้งระบบ รวมถึงบทบาทของสถาบันการเงินนอกธนาคาร ซึ่งมีประโยชน์ในการวิเคราะห์โครงสร้างเศรษฐกิจทั้งหมด
เพื่อความชัดเจนในการเปรียบเทียบ ลองดูตารางนี้ที่สรุปความแตกต่าง:
| ประเภทปริมาณเงิน | องค์ประกอบ | สภาพคล่อง | บทบาทในการวิเคราะห์ |
|---|---|---|---|
| M1 | เงินสดในมือประชาชน + เงินฝากกระแสรายวัน | สูงที่สุด | ชี้วัดการใช้จ่ายและกิจกรรมเศรษฐกิจระยะสั้น |
| M2 | M1 + เงินฝากออมทรัพย์ + เงินฝากประจำ | ปานกลาง | ชี้วัดกำลังซื้อโดยรวม, แนวโน้มเงินเฟ้อระยะปานกลาง |
| M3 | M2 + เงินฝากและสินทรัพย์ทางการเงินอื่นๆ ของสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ | ต่ำสุด | ภาพรวมปริมาณเงินทั้งหมด, บทบาทสถาบันการเงิน |
ปริมาณเงิน M1 ส่งผลต่อชีวิตประจำวันและธุรกิจในประเทศไทยอย่างไร?
การเปลี่ยนแปลงของ M1 ไม่ใช่แค่ตัวเลขในรายงานเศรษฐกิจ แต่ยังเชื่อมโยงโดยตรงกับการใช้ชีวิตของคนไทยและการดำเนินงานของธุรกิจ ทำให้เข้าใจได้ว่าทำไมตัวชี้วัดนี้ถึงมีน้ำหนักมากในบริบทจริง
ผลกระทบต่อการจับจ่ายใช้สอยและการลงทุนของประชาชน
เมื่อ M1 ในเศรษฐกิจไทยขยายตัว ประชาชนจะมีเงินสดและเงินฝากที่พร้อมใช้มากขึ้น ส่งผลให้การบริโภคเพิ่มขึ้นและราคาสินค้าอาจปรับตัวสูงตามไปด้วย ซึ่งเรียกว่าเงินเฟ้อ โดยเฉพาะถ้าการเพิ่มขึ้นมาจากการพิมพ์เงินที่ไม่สมดุลกับกำลังการผลิต แต่ถ้า M1 ลดลง กำลังซื้อจะอ่อนแอลง การใช้จ่ายลดตัว และอาจเกิดเงินฝืดที่ราคาตกต่ำ สิ่งเหล่านี้กระทบค่าครองชีพโดยตรง เช่น ราคาอาหารหรือค่าน้ำมัน นอกจากนี้ M1 ยัง影響การลงทุนส่วนตัว ถ้า M1 สูงและดอกเบี้ยต่ำ คนอาจหันไปลงทุนในอสังหาฯ หรือหุ้นเพื่อป้องกันมูลค่าเงินที่ลดลงจากเงินเฟ้อ ซึ่งในไทยเราเห็นตัวอย่างชัดเจนในช่วงเศรษฐกิจฟื้นตัว
อิทธิพลต่อสภาพคล่องและโอกาสทางธุรกิจในประเทศไทย
สำหรับธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ในไทย M1 เป็นกุญแจสำคัญต่อสภาพคล่องทางการเงิน ถ้า M1 สูง ธุรกิจเข้าถึงทุนหมุนเวียนง่ายขึ้น ค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมลดลง เปิดโอกาสขยายกิจการ ลงทุนใหม่ และจ้างงานเพิ่ม ซึ่งช่วยผลักดันเศรษฐกิจโดยรวม แต่ถ้า M1 ต่ำ ธุรกิจอาจขาดสภาพคล่อง การกู้ยืมยาก และต้นทุนสูงขึ้น โดยเฉพาะในยามเศรษฐกิจชะงัก ธปท. และรัฐบาลจึงมีมาตรการสนับสนุน เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับ SMEs หรือการผ่อนคลายทางการเงินในวิกฤต เพื่อรักษาสมดุลและช่วยผู้ประกอบการให้ผ่านพ้นไปได้
สรุป: ทำไมการเข้าใจ M1 จึงเป็นสิ่งจำเป็น
ปริมาณเงินในความหมายอย่างแคบ หรือ M1 ไม่ใช่แค่ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ซับซ้อน แต่เป็นเครื่องมือที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจไทยและชีวิตเราทุกคนอย่างแท้จริง การรู้จักส่วนประกอบอย่างเงินสดและเงินฝากกระแสรายวัน รวมถึงการกำกับดูแลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วยให้เราถอดความข่าวเศรษฐกิจได้ดีขึ้น ตีความปรากฏการณ์อย่างเงินเฟ้อหรือเงินฝืด และวางแผนธุรกิจอย่างมีกลยุทธ์ การติดตาม M1 ร่วมกับ M2 และ M3 จะให้มุมมองที่ครบถ้วนเกี่ยวกับสภาพคล่องและการเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจไทย ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับการเป็นผู้บริโภค นักลงทุน หรือผู้ประกอบการที่ตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง
M1 ของประเทศไทยตอนนี้มีแนวโน้มเป็นอย่างไร และเราสามารถติดตามข้อมูลได้จากที่ไหน?
แนวโน้มของ M1 ในประเทศไทยเปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์เศรษฐกิจและนโยบายจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งอาจเพิ่มขึ้นในช่วงฟื้นตัวหรือลดลงเมื่อมีการปรับตัว คุณสามารถตรวจสอบข้อมูลล่าสุดและย้อนหลังได้จากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของธปท. ในส่วนสถิติเศรษฐกิจและการเงิน ที่อัปเดตทุกเดือน สถิติเศรษฐกิจและการเงิน ธปท.
การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของปริมาณเงิน M1 มีผลต่อค่าครองชีพและราคาสินค้าในประเทศไทยอย่างไร?
โดยหลักแล้ว ถ้า M1 เพิ่มขึ้นเร็วเกินกว่าการผลิตสินค้าและบริการ เงินในระบบจะล้น ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อที่ราคาสินค้าแพงขึ้นและค่าครองชีพสูงตาม แต่ถ้า M1 ลดลงมาก อาจบ่งชี้เศรษฐกิจชะลอ การใช้จ่ายน้อยลง นำไปสู่เงินฝืดที่ราคาต่ำหรือการเติบโตช้า
การใช้จ่ายผ่าน Mobile Banking หรือ E-wallet ในชีวิตประจำวันของคนไทย จัดเป็นส่วนหนึ่งของ M1 หรือไม่?
การทำธุรกรรมผ่าน Mobile Banking หรือ E-wallet มักใช้เงินจากบัญชีกระแสรายวันหรือออมทรัพย์ ซึ่งเงินฝากกระแสรายวันเป็นส่วนของ M1 ส่วนออมทรัพย์อยู่ใน M2 ดังนั้นธุรกรรมดิจิทัลเหล่านี้ช่วยให้เงินไหลเวียนในระบบ และสะท้อนสภาพคล่องของ M1 หรือ M2 ได้ดี โดยเฉพาะในไทยที่การชำระเงินดิจิทัลเติบโตเร็ว
ธนาคารแห่งประเทศไทยใช้นโยบายใดในการจัดการปริมาณเงิน M1 เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ?
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ใช้เครื่องมือนโยบายการเงินหลากหลายเพื่อควบคุม M1 และปริมาณเงินรวม โดยมุ่งรักษาเสถียรภาพและเงินเฟ้อ เช่น:
- การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย: เพื่อ影響ต้นทุนกู้ยืมและดอกเบี้ยฝาก
- การดำเนินการตลาดเปิด: เช่น ซื้อขายพันธบัตรเพื่อเพิ่มหรือลดสภาพคล่อง
- การกำหนดอัตราเงินสำรองตามกฎหมาย: เพื่อจำกัดเงินที่ธนาคารให้กู้
นโยบายเหล่านี้ช่วยให้การไหลเวียนเงินสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ
ปริมาณเงิน M1 แตกต่างจาก “เงินในบัญชีออมทรัพย์” ของเราอย่างไร?
M1 เน้นเงินสดและเงินฝากกระแสรายวันที่คล่องตัวสูงสุดสำหรับการใช้จ่ายทันที ส่วนเงินในบัญชีออมทรัพย์อยู่ใน M2 เพราะแม้ถอนง่ายแต่ไม่สามารถสั่งจ่ายเช็คได้โดยตรง ทำให้สภาพคล่องต่ำกว่า
ธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง (SMEs) ในประเทศไทย ควรให้ความสำคัญกับข้อมูล M1 อย่างไร?
SMEs ควรใช้ข้อมูล M1 เพื่อประเมินสภาพคล่องระบบและการใช้จ่ายของผู้บริโภค ถ้า M1 สูง อาจเป็นสัญญาณกำลังซื้อดี โอกาสขายและลงทุนเพิ่ม แต่ถ้าต่ำ ต้องระวังสภาพคล่องและวางแผนการเงินรัดกุม นอกจากนี้ M1 ยัง影響ดอกเบี้ยที่กระทบต้นทุนกู้ของ SMEs
ในช่วงสถานการณ์เศรษฐกิจพิเศษ เช่น วิกฤตโควิด-19 ปริมาณเงิน M1 ของไทยมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร?
ในวิกฤตอย่างโควิด-19 ธปท. มักใช้นโยบายผ่อนคลายเพื่อรักษาสภาพคล่องและกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ M1 อาจเพิ่มจากประชาชนถือเงินสดมากขึ้นหรือการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น ลดใช้จ่ายและเก็บออม กระทบ M1 และ M2 ได้ ข้อมูลช่วงวิกฤตหาได้จากรายงานของ ธปท. และวิจัยจากสถาบันต่าง ๆ
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หรือหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย เกี่ยวข้องกับปริมาณเงิน M1 อย่างไร?
M1 สะท้อนสภาพคล่อง เมื่อสูงและดอกเบี้ยต่ำ เงินอาจไหลสู่ตลาดทุนและอสังหาฯ เพื่อผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก แต่การลงทุนจริงมักเชื่อมกับ M2 และ M3 มากกว่า เพราะเงินมาจากฝากออมทรัพย์หรือประจำที่แปลงมาใช้
ในอนาคต เทคโนโลยีดิจิทัลและสกุลเงินดิจิทัล (CBDC) จะส่งผลต่อคำจำกัดความและองค์ประกอบของ M1 ในประเทศไทยหรือไม่?
เทคโนโลยีดิจิทัลอย่าง Mobile Banking และ E-wallet ได้ลดการใช้เงินสดและเปลี่ยนพฤติกรรมใช้จ่ายแล้ว ในอนาคต ถ้า ธปท. นำ CBDC มาใช้กว้างขวาง CBDC ที่เป็นเงินสดดิจิทัลอาจรวมใน M1 โดยตรง ทำให้คำนิยามปรับตัวให้เข้ากับยุคดิจิทัลได้แม่นยำกว่า
ถ้าต้องการศึกษาเรื่องปริมาณเงินให้ลึกซึ้งขึ้น ควรเริ่มต้นจากแหล่งข้อมูลใดในประเทศไทย?
สำหรับการศึกษาลึก เริ่มจากแหล่งน่าเชื่อถือเหล่านี้:
- ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.): มีสถิติ บทความ และรายงานนโยบายครบถ้วน เว็บไซต์ ธปท.
- สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์): รายงานภาวะเศรษฐกิจและวิเคราะห์
- ตำราเศรษฐศาสตร์มหภาค: โดยเฉพาะส่วนเงินเฟ้อ ปริมาณเงิน และนโยบาย
- สถาบันวิจัยทางเศรษฐกิจ: เช่น TDRI หรือศูนย์วิเคราะห์จากธนาคารพาณิชย์
發佈留言
很抱歉,必須登入網站才能發佈留言。