หุ้นคืออะไร มีกี่ประเภท: คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับนักลงทุนมือใหม่ สร้างพอร์ตแกร่งด้วยความเข้าใจ

บทนำ: เปิดประตูสู่โลกการลงทุน “หุ้น” คืออะไร?

ในยุคที่ทุกคนมองหาวิธีสร้างความมั่งคั่งและวางแผนการเงินสำหรับอนาคต การลงทุนในหุ้นกลายเป็นตัวเลือกยอดนิยมที่เข้าถึงได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นมืออาชีพหรือคนทั่วไป หุ้นช่วยให้คุณมีส่วนเป็นเจ้าของในบริษัทชั้นนำและเติบโตไปพร้อมกัน การรู้จักหุ้นว่าคืออะไรและแบ่งออกเป็นประเภทไหน ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้สนใจลงทุน บทความนี้จะนำคุณสำรวจนัยสำคัญของหุ้น ประเภทหลากหลายที่ควรรู้จัก และเหตุผลที่การเข้าใจสิ่งเหล่านี้ช่วยให้คุณวางแผนพอร์ตการลงทุนให้ตรงกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

ภาพประกอบบุคคลเปิดประตูสู่โลกการลงทุนที่เต็มไปด้วยกราฟหุ้นและสัญลักษณ์ลอยฟุ้ง

หุ้นคืออะไร? ทำความเข้าใจรากฐานของการลงทุน

ก่อนดำดิ่งสู่ประเภทต่างๆ ของหุ้น เรามาสร้างฐานความรู้พื้นฐานกันก่อน โดยพิจารณาว่าหุ้นคือสิ่งใดและบทบาทของมันในเศรษฐกิจกับการลงทุน

ภาพประกอบบุคคลถือชิ้นส่วนปริศนาขนาดเล็กของบริษัทขนาดใหญ่ แสดงถึงการเป็นเจ้าของหุ้น

นิยามของ “หุ้น” ในมุมมองนักลงทุน

หุ้น หรือที่รู้จักในชื่อสต็อก คือหลักทรัพย์ที่แสดงถึงสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของบริษัทที่จดทะเบียน ผู้ถือหุ้นจะกลายเป็นเจ้าของร่วมตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ถือไว้ แต่ละหุ้นเปรียบดั่งชิ้นส่วนย่อยของกิจการทั้งหมด เมื่อคุณซื้อหุ้น คุณกำลังลงทุนในธุรกิจนั้นและมีสิทธิ์รับส่วนแบ่งสินทรัพย์รวมถึงกำไรตามสัดส่วน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) อธิบายชัดเจนว่าหุ้นคือการร่วมทุนในธุรกิจที่จดทะเบียน

มูลค่าหุ้นไม่ได้กำหนดจากตัวเลขบนเอกสารเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับผลประกอบการ ความสามารถสร้างกำไร ศักยภาพเติบโตของบริษัท ปัจจัยเศรษฐกิจโดยรวม และอุปสงค์-อุปทานในตลาด การซื้อขายหุ้นจึงเกิดขึ้นใน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ซึ่งทำหน้าที่เป็นตลาดรองสำหรับแลกเปลี่ยนสิทธิ์ความเป็นเจ้าของเหล่านี้

ทำไมบริษัทถึงออกหุ้น? และนักลงทุนได้อะไร?

สำหรับบริษัท การออกหุ้นหรือการระดมทุนเป็นวิธีสำคัญในการหาเงินทุนสำหรับขยายธุรกิจ ชำระหนี้ หรือดำเนินกิจการ โดยไม่ต้องพึ่งพาการกู้ยืมจากธนาคารที่อาจมีดอกเบี้ยแพง วิธีนี้ช่วยให้บริษัทได้เงินทุนจำนวนมากจากประชาชนทั่วไป เพื่อนำไปพัฒนาและเพิ่มผลกำไร

จากมุมนักลงทุน การถือหุ้นเปิดโอกาสสร้างผลตอบแทนหลักๆ สองรูปแบบ

  • เงินปันผล (Dividend): เมื่อบริษัททำกำไรและคณะกรรมการเห็นชอบจ่ายปันผล ผู้ถือหุ้นจะได้ส่วนแบ่ง ซึ่งกลายเป็นรายได้ประจำหากเลือกบริษัทที่มีนโยบายปันผลดี
  • กำไรส่วนต่างราคา (Capital Gain): เกิดจากการขายหุ้นในราคาที่สูงกว่าราคาซื้อ ซึ่งมาจากผลประกอบการที่ดี ศักยภาพเติบโต หรือความสนใจจากตลาดที่เพิ่มขึ้น
ภาพประกอบอาคารบริษัทพร้อมถุงเงินบินเข้าและมือสองข้างรับเงินปันผลกับกำไรส่วนต่าง

หุ้นมีกี่ประเภท? การจำแนกประเภทพื้นฐานที่คุณต้องรู้

โดยหลัก หุ้นแบ่งออกเป็นสองประเภทหลักที่นักลงทุนควรทำความเข้าใจ คือหุ้นสามัญและหุ้นบุริมสิทธิ ซึ่งแตกต่างกันเรื่องสิทธิ์และระดับความเสี่ยง

หุ้นสามัญ (Common Stock): หัวใจหลักของตลาดหุ้น

หุ้นสามัญคือประเภทที่พบมากที่สุดและเป็นแกนกลางของการซื้อขายในตลาด Finnomena ระบุว่าหุ้นสามัญเป็นสิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่คุ้นเคย

ลักษณะและสิทธิประโยชน์สำคัญของหุ้นสามัญ:

  • สิทธิออกเสียง (Voting Right): ผู้ถือหุ้นสามัญสามารถออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อกำหนดเรื่องสำคัญอย่างการเลือกกรรมการ อนุมัติงบการเงิน หรือปรับนโยบาย โดยปกติ 1 หุ้นมี 1 เสียง
  • เงินปันผลไม่แน่นอน: การจ่ายปันผลขึ้นกับผลประกอบการและมติคณะกรรมการ ไม่รับประกันว่าจะได้ทุกปี และอัตราก็ไม่คงที่
  • ผลตอบแทนสูง/ความเสี่ยงสูง: หุ้นสามัญมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงถ้าบริษัทเติบโตเร็วและราคาขึ้น แต่เสี่ยงมากหากผลประกอบการแย่ ราคาอาจร่วงหนัก
  • สิทธิเรียกร้องหนี้รองลงมา: ถ้าบริษัทล้มละลาย ผู้ถือหุ้นสามัญจะได้ส่วนแบ่งสินทรัพย์เป็นลำดับสุดท้าย หลังชำระหนี้และคืนให้ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิแล้ว

หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock): ทางเลือกที่เน้นความมั่นคง

หุ้นบุริมสิทธิเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความแน่นอนและผลตอบแทนสม่ำเสมอ แม้จะแลกกับสิทธิ์บางอย่างที่น้อยกว่าหุ้นสามัญ

ลักษณะและสิทธิประโยชน์สำคัญของหุ้นบุริมสิทธิ:

  • ไม่มีสิทธิออกเสียง: ส่วนใหญ่ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิไม่มีสิทธิ์ออกเสียงในที่ประชุม จึงไม่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจบริหาร
  • เงินปันผลคงที่: ได้รับปันผลในอัตราที่กำหนดไว้ล่วงหน้าและสม่ำเสมอ โดยจ่ายก่อนผู้ถือหุ้นสามัญ
  • สิทธิในการชำระหนี้ก่อน: ถ้าบริษัทล้มละลาย จะได้ชำระคืนจากสินทรัพย์ก่อนหุ้นสามัญ แต่ยังหลังจากเจ้าหนี้
  • ความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้นสามัญ: ด้วยปันผลคงที่และสิทธิ์ชำระก่อน ทำให้มั่นคงและเสี่ยงน้อยกว่า

ตารางเปรียบเทียบ หุ้นสามัญ vs. หุ้นบุริมสิทธิ

คุณสมบัติ หุ้นสามัญ (Common Stock) หุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock)
สิทธิออกเสียง มีสิทธิออกเสียง โดยทั่วไปไม่มีสิทธิออกเสียง
เงินปันผล ไม่แน่นอน, ขึ้นอยู่กับกำไร อัตราคงที่, ได้รับก่อนหุ้นสามัญ
สิทธิในการชำระหนี้ (กรณีบริษัทล้มละลาย) ได้รับลำดับสุดท้าย ได้รับก่อนหุ้นสามัญ (แต่หลังเจ้าหนี้)
ศักยภาพในการเติบโต สูงกว่า (ราคาหุ้นผันผวนตามผลประกอบการ) จำกัดกว่า (คล้ายตราสารหนี้)
ความเสี่ยง สูง ต่ำกว่าหุ้นสามัญ

เจาะลึก! หุ้นประเภทอื่นๆ ที่นักลงทุนไทยควรรู้ (เพื่อการลงทุนที่หลากหลาย)

นอกเหนือจากการแบ่งตามสิทธิพื้นฐาน หุ้นยังสามารถจัดกลุ่มได้หลายรูปแบบอื่นๆ ซึ่งช่วยให้นักลงทุนวางกลยุทธ์ได้กว้างขึ้น โดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยที่เต็มไปด้วยโอกาสหลากหลาย

การจำแนกตามมูลค่าตลาด (Market Capitalization)

มูลค่าตลาด หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า Market Cap คือมูลค่ารวมของหุ้นทั้งหมดที่บริษัทออก โดยคำนวณจากราคาหุ้นคูณจำนวนหุ้นทั้งหมด การแบ่งกลุ่มนี้ช่วยให้เห็นขนาดและลักษณะของบริษัทชัดเจนยิ่งขึ้น

  • หุ้นขนาดใหญ่ (Large-Cap Stocks / Blue Chip Stocks): หุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดสูง ชื่อเสียงโด่งดัง ฐานะการเงินมั่นคง สภาพคล่องดี และมักนำอุตสาหกรรม หุ้นเหล่านี้ผันผวนน้อย ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ เหมาะกับผู้ที่ต้องการความมั่นคง ตัวอย่างในไทย เช่น PTT (บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)), AOT (บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)), CPALL (บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)) ซึ่งเป็นหุ้นหลักที่ช่วยขับเคลื่อนดัชนีตลาด
  • หุ้นขนาดกลาง (Mid-Cap Stocks): หุ้นของบริษัทขนาดกลางที่กำลังขยายตัว มีศักยภาพเติบโตสูงกว่าบริษัทใหญ่ แต่เสี่ยงและผันผวนมากกว่า เหมาะสำหรับนักลงทุนที่อยากได้โอกาสเติบโตโดยรับความเสี่ยงเพิ่มนิดหน่อย เช่น บริษัทที่เพิ่งเข้าตลาดหรือขยายสาขาใหม่
  • หุ้นขนาดเล็ก (Small-Cap Stocks): หุ้นของบริษัทขนาดเล็ก มูลค่าตลาดต่ำ มักเป็นสตาร์ทอัพหรือธุรกิจกำลังพุ่งทะยาน ผันผวนสูง สภาพคล่องน้อย แต่มีโอกาสให้ผลตอบแทนมหาศาลถ้าประสบความสำเร็จ เสี่ยงขาดทุนหนักเช่นกัน เหมาะกับผู้ที่ทนความเสี่ยงสูงเพื่อผลตอบแทนใหญ่

การจำแนกตามอุตสาหกรรม (Sector Classification)

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จัดกลุ่มบริษัทจดทะเบียนตามอุตสาหกรรม เพื่อให้นักลงทุนวิเคราะห์และเปรียบเทียบผลงานในกลุ่มเดียวกันได้สะดวก การรู้จักภาคส่วนต่างๆ ช่วยให้มองภาพเศรษฐกิจโดยรวมและเลือกหุ้นที่สอดคล้องกับแนวโน้ม

ตัวอย่างกลุ่มอุตสาหกรรมหลักใน SET:

  • พลังงานและสาธารณูปโภค (Energy & Utilities): เช่น PTT, EGCO, RATCH ซึ่งได้รับอิทธิพลจากราคาน้ำมันและนโยบายพลังงาน
  • ธนาคาร (Banking): เช่น KBANK, SCB, BBL ที่ขึ้นกับสภาวะเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ย
  • เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information & Communication Technology): เช่น ADVANC, INTUCH, TRUE ซึ่งเติบโตจากดิจิทัลและ 5G
  • อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (Property & Construction): เช่น PSH, LH, SC ที่ผูกกับตลาดที่อยู่อาศัยและโครงสร้างพื้นฐาน
  • พาณิชย์ (Commerce): เช่น CPALL, HMPRO, CRC ซึ่งสะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภค
  • การแพทย์ (Healthcare): เช่น BDMS, BH, CHG ที่มั่นคงจากความต้องการสุขภาพ

แต่ละกลุ่มมีปัจจัยขับเคลื่อนและวัฏจักรเศรษฐกิจที่ต่างกัน การกระจายลงทุนข้ามอุตสาหกรรมช่วยลดความเสี่ยงจากปัญหาเฉพาะกลุ่ม

การจำแนกตามลักษณะการเติบโตและมูลค่า (Growth vs. Value Stocks)

การแบ่งนี้ได้รับความนิยมในนักลงทุนที่ใช้วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน

  • หุ้นเติบโต (Growth Stocks): หุ้นของบริษัทที่คาดว่ารายได้และกำไรจะเติบโตเร็วกว่าตลาด โดยมักอยู่ในอุตสาหกรรมใหม่หรือมีนวัตกรรมเด่น นักลงทุนหวังกำไรจากราคาที่พุ่งสูง โดยไม่ค่อยสนปันผล หุ้นเหล่านี้มีราคาแพงเมื่อเทียบกำไรปัจจุบัน (P/E สูง) และเสี่ยงถ้าเติบโตไม่เป็นไปตามคาด เช่น บริษัทเทคที่กำลังขยายตลาดต่างประเทศ
  • หุ้นคุณค่า (Value Stocks): หุ้นของบริษัทที่มีพื้นฐานดีแต่ราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าจริง (Undervalued) นักลงทุนเชื่อว่าราคาจะปรับขึ้นเมื่อตลาดตระหนักถึงคุณค่า หุ้นกลุ่มนี้มักมั่นคง จ่ายปันผลดี และ P/E ต่ำ เหมาะกับผู้ที่อดทนรอผลตอบแทน Money Buffalo อธิบายความแตกต่างนี้ได้ชัดเจน

ตารางเปรียบเทียบ หุ้นเติบโต vs. หุ้นคุณค่า

คุณสมบัติ หุ้นเติบโต (Growth Stocks) หุ้นคุณค่า (Value Stocks)
ลักษณะบริษัท เติบโตเร็ว, นวัตกรรมสูง, อุตสาหกรรมใหม่ มั่นคง, มีปัจจัยพื้นฐานดี, ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
ราคาเทียบกำไร (P/E Ratio) สูง ต่ำ
เงินปันผล มักจะจ่ายน้อยหรือไม่จ่ายเลย (นำกำไรไปลงทุนต่อ) มักจะจ่ายสม่ำเสมอ
ความเสี่ยง สูง (ขึ้นอยู่กับศักยภาพการเติบโต) ปานกลาง (มีส่วนเผื่อความปลอดภัย)
ผลตอบแทนที่คาดหวัง กำไรส่วนต่างราคาที่สูงมาก กำไรส่วนต่างราคาและเงินปันผล

การจำแนกตามวัฏจักรเศรษฐกิจ (Cyclical vs. Defensive Stocks)

การแบ่งนี้ดูจากความสัมพันธ์ของหุ้นกับวัฏจักรเศรษฐกิจ

  • หุ้นวัฏจักร (Cyclical Stocks): หุ้นของบริษัทที่ผลประกอบการขึ้นลงตามเศรษฐกิจ เติบโตดีในช่วงขาขึ้นแต่แย่ในขาลง ตัวอย่างเช่น หุ้นยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง โรงแรม การท่องเที่ยว ธนาคาร เหมาะกับนักลงทุนที่จับจังหวะตลาดได้ดี โดยในช่วงฟื้นตัวเศรษฐกิจ หุ้นเหล่านี้อาจให้ผลตอบแทนสูง
  • หุ้นปลอดภัย (Defensive Stocks): หุ้นของบริษัทที่ผลงานคงที่ ไม่ค่อยกระทบจากเศรษฐกิจ เพราะเป็นสินค้าจำเป็นต่อชีวิต เช่น สาธารณูปโภค อาหาร เครื่องดื่ม โรงพยาบาล ค้าปลีกของใช้ประจำวัน หุ้นกลุ่มนี้ให้ผลตอบแทนสม่ำเสมอ ผันผวนต่ำ เหมาะเป็นที่หลบภัยในช่วงเศรษฐกิจไม่แน่นอน

ตารางเปรียบเทียบ หุ้นวัฏจักร vs. หุ้นปลอดภัย

คุณสมบัติ หุ้นวัฏจักร (Cyclical Stocks) หุ้นปลอดภัย (Defensive Stocks)
ความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจ ผันผวนตามวัฏจักรเศรษฐกิจ (ขึ้นลงตามเศรษฐกิจ) ไม่ค่อยผันผวนตามเศรษฐกิจ (ค่อนข้างคงที่)
ผลประกอบการ ผันผวนสูง ค่อนข้างมั่นคงและสม่ำเสมอ
สินค้า/บริการ สินค้าฟุ่มเฟือย, บริการที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน สินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็น, สาธารณูปโภค
ความเสี่ยง สูง ต่ำ
เหมาะกับ นักลงทุนที่จับจังหวะตลาดได้, รับความเสี่ยงสูง นักลงทุนที่เน้นความมั่นคง, กระจายความเสี่ยง

ทำไมการรู้จักประเภทหุ้นจึงสำคัญต่อการลงทุนของคุณ?

การเข้าใจประเภทหุ้นต่างๆ ไม่ใช่แค่ทฤษฎี แต่เป็นเครื่องมือหลักในการสร้างกลยุทธ์ลงทุนที่เหมาะสมและตรงเป้าหมายส่วนตัว

  • ช่วยให้จับคู่กับความเสี่ยงที่รับได้และเป้าหมายการลงทุน: แต่ละประเภทมีระดับเสี่ยงและผลตอบแทนต่างกัน การรู้จักช่วยเลือกหุ้นที่ 맞กับความอดทนต่อความเสี่ยงและเป้าหมาย เช่น มือใหม่ที่กลัวเสี่ยง อาจเลือกหุ้นบุริมสิทธิหรือหุ้นปลอดภัย แทนหุ้นเติบโตที่ผันผวน
  • นำไปสู่การสร้างพอร์ตโฟลิโอที่หลากหลาย (Portfolio Diversification): การลงทุนกระจายในหุ้นหลายประเภท เช่น ขนาดใหญ่-กลาง-เล็ก เติบโต-คุณค่า วัฏจักร-ปลอดภัย ช่วยลดความเสี่ยงรวม ถ้ากลุ่มหนึ่งแย่ กลุ่มอื่นอาจช่วยชดเชย
  • มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนและกลยุทธ์: ความรู้นี้ช่วยปรับกลยุทธ์ตามตลาด เช่น ในเศรษฐกิจบูม หุ้นวัฏจักรหรือเติบโตอาจดี แต่ในช่วงชะลอ หุ้นปลอดภัยจะเป็นตัวเลือกปลอดภัย การรู้ลักษณะแต่ละประเภทนำไปสู่การซื้อขายที่เหมาะสม
  • เพิ่มโอกาสในการค้นหาหุ้นที่มีศักยภาพ: เมื่อเข้าใจคุณสมบัติ คุณสามารถคัดกรองหุ้นที่ตรงเกณฑ์ได้ดีขึ้น ช่วยพบหุ้นที่มีโอกาสเติบโตหรือให้ผลตอบแทนตามต้องการ เช่น การหาหุ้นคุณค่าที่ถูกลืมในตลาด

เริ่มต้นลงทุนในหุ้น: สิ่งที่คุณต้องเตรียม

สำหรับมือใหม่ที่อยากลองลงทุนในตลาดหุ้นไทย สิ่งที่ต้องเตรียมตัวมีดังนี้ เพื่อให้เริ่มต้นได้อย่างมั่นใจ

  1. ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม: นอกจากประเภทหุ้น ยังต้องเรียนรู้การวิเคราะห์พื้นฐาน เทคนิค การอ่านงบการเงิน และจัดการความเสี่ยง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีเนื้อหาและคู่มือสำหรับผู้เริ่มต้นที่เป็นประโยชน์มาก
  2. เปิดบัญชีหลักทรัพย์: เลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือและเหมาะกับคุณในไทย เช่น หลักทรัพย์บัวหลวง (Bualuang Securities), หลักทรัพย์หยวนต้า (Yuanta Securities), หลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ (SCB Securities) เตรียมเอกสารอย่างบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน และหลักฐานรายได้
  3. กำหนดเป้าหมายการลงทุนและยอมรับความเสี่ยง: พิจารณาว่าต้องการอะไรจากหุ้น เช่น เติบโต เงินปันผล หรือลงทุนสั้น-ยาว และประเมินว่าทนความเสี่ยงได้แค่ไหน เพื่อหลีกเลี่ยงการตัดสินใจ impulsively
  4. เริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อย: ไม่ต้องลงทุนก้อนใหญ่ สามารถเริ่มด้วยเงินหลักพันเพื่อทดลองและเรียนรู้ตลาด โดยค่อยๆ เพิ่มเมื่อชำนาญ
  5. ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ: ใช้วิธีถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar-Cost Averaging – DCA) โดยลงทุนเงินเท่าๆ กันทุกเดือน ไม่ว่าจะราคาหุ้นขึ้นลง เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวน

สรุป: ก้าวแรกสู่การเป็นนักลงทุนหุ้นที่ชาญฉลาด

หุ้นไม่ใช่แค่ตัวเลขบนหน้าจอ แต่เป็นสะพานเชื่อมคุณกับการเติบโตของธุรกิจและเศรษฐกิจ การรู้ว่าหุ้นคืออะไรและแบ่งประเภทอย่างไร ตั้งแต่หุ้นสามัญ บุริมสิทธิ ไปจนถึงกลุ่มตามมูลค่าตลาด อุตสาหกรรม ลักษณะเติบโต และวัฏจักร เป็นพื้นฐานที่ขาดไม่ได้สำหรับนักลงทุน

ความรู้เหล่านี้ช่วยให้เลือกหุ้นที่ตรงกับเป้าหมายและเสี่ยงส่วนตัว สร้างพอร์ตที่แข็งแกร่ง กระจายความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสผลตอบแทนระยะยาว ขอให้คุณเริ่มลงทุนด้วยความรู้และความระมัดระวัง เพื่อประสบความสำเร็จในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหุ้นและประเภทของหุ้น (FAQ)

หุ้นคืออะไรสำหรับนักลงทุนมือใหม่?

สำหรับผู้เริ่มต้น หุ้นคือหลักทรัพย์ที่แสดงสิทธิ์เป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของบริษัทจดทะเบียน คุณจะได้ส่วนแบ่งกำไรผ่านเงินปันผล และมีโอกาสทำกำไรจากราคาที่เพิ่มขึ้น เป็นทางให้คุณร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจและเติบโตไปด้วยกัน

หุ้นสามัญกับหุ้นบุริมสิทธิ ต่างกันอย่างไร? ควรเลือกแบบไหนดี?

หุ้นสามัญให้สิทธิ์ออกเสียงและปันผลที่ไม่แน่นอน แต่มีโอกาสเติบโตสูง หุ้นบุริมสิทธิไม่มีสิทธิ์ออกเสียงแต่ปันผลคงที่และได้ชำระคืนก่อนถ้าบริษัทล้ม เลือกตาม:

  • ถ้าต้องการมีส่วนบริหารและเน้นเติบโต เลือก หุ้นสามัญ
  • ถ้าต้องการมั่นคงและปันผลสม่ำเสมอ เลือก หุ้นบุริมสิทธิ

การลงทุนในหุ้นมีกี่แบบ? (เช่น ระยะสั้น, ระยะยาว) และหุ้นประเภทไหนเหมาะกับแต่ละแบบ?

การลงทุนหุ้นแบ่งหลักๆ สองแบบ:

  • ระยะสั้น (เก็งกำไร): เน้นหุ้นผันผวนสูงหรือหุ้นเล็กที่มีข่าวเฉพาะ
  • ระยะยาว (เน้นเติบโตและปันผล): เหมาะกับหุ้นใหญ่ คุณค่า หุ้นเติบโตพื้นฐานดี หรือหุ้นปันผลสูง

หุ้นขนาดใหญ่, กลาง, เล็ก แตกต่างกันอย่างไรในตลาดหุ้นไทย?

หุ้นขนาดใหญ่ (Large-Cap): บริษัทใหญ่ ชื่อดัง มั่นคง สภาพคล่องดี (เช่น PTT, AOT)
หุ้นขนาดกลาง (Mid-Cap): บริษัทกำลังเติบโต ศักยภาพสูงแต่เสี่ยงกว่า
หุ้นขนาดเล็ก (Small-Cap): บริษัทเล็ก โอกาสเติบโตสูงแต่ผันผวนและเสี่ยงมาก

ต้องเตรียมเงินเท่าไหร่ถึงจะเริ่มเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้?

เริ่มได้ด้วยเงินน้อย บางโบรกเกอร์ไม่มีขั้นต่ำ หรือซื้อหุ้นหลักพันบาท ขึ้นกับราคาหุ้นและกฎโบรกเกอร์

การเลือกโบรกเกอร์หุ้นในไทย มีหลักการอะไรบ้าง?

หลักเลือกโบรกเกอร์ไทย:

  • ค่าธรรมเนียม: เปรียบเทียบคอมมิชชั่นและค่าบริการ
  • เครื่องมือและแพลตฟอร์ม: ใช้งานง่าย มีฟีเจอร์ครบ
  • บริการและคำแนะนำ: มีวิเคราะห์และที่ปรึกษา
  • ความน่าเชื่อถือ: ต้องอยู่ภายใต้ ก.ล.ต.

หุ้นประเภทไหนที่เหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย?

สำหรับผู้รับเสี่ยงต่ำ แนะนำ หุ้นบุริมสิทธิ (ปันผลคงที่) และ หุ้นปลอดภัย (Defensive Stocks) ซึ่งเป็นหุ้นบริษัทผลิตสินค้าจำเป็น ผลงานมั่นคงแม้เศรษฐกิจผันผวน (เช่น สาธารณูปโภค อาหาร)

การซื้อขายหุ้นต่างประเทศ (เช่น หุ้น US) ผ่านโบรกเกอร์ไทย ทำได้หรือไม่?

ทำได้ โบรกเกอร์ไทยหลายแห่งรองรับหุ้นต่างประเทศ เช่น US Stocks ติดต่อโบรกเกอร์เพื่อขั้นตอนเปิดบัญชีและเงื่อนไข

หุ้นปันผล (Dividend Stock) คืออะไร? และเหมาะกับใคร?

หุ้นปันผลคือหุ้นบริษัทที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอและน่าพอใจ เหมาะกับผู้ต้องการรายได้ต่อเนื่องแบบ passive income นักลงทุนระยะยาวที่ไม่ชอบความผันผวน

ถ้าบริษัทที่เราถือหุ้นล้มละลาย จะเกิดอะไรขึ้นกับเงินลงทุนของเรา?

ถ้าบริษัทล้ม ผู้ถือหุ้นได้ชำระคืนจากสินทรัพย์ลำดับสุดท้าย หลังหนี้และหุ้นบุริมสิทธิ อาจได้บางส่วนหรือไม่ได้เลย ขึ้นกับสินทรัพย์เหลือ การลงทุนหุ้นจึงเสี่ยงสูญทุน

Author photo

發佈留言