Swing Trade คืออะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์เพื่อปลดล็อกกำไรในตลาดไทย สำหรับเทรดเดอร์ทุกระดับ

Swing Trade คืออะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์สำหรับเทรดเดอร์ไทย

導言:ปลดล็อกศักยภาพการทำกำไรด้วย Swing Trade

ในแวดวงการลงทุนที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การค้นพบวิธีการที่ลงตัวคือสิ่งที่นำพาความสำเร็จมาสู่ผู้เล่นทุกคน Swing Trade กลายเป็นทางเลือกที่ได้รับความชื่นชอบจากเทรดเดอร์ทั่วโลก รวมถึงในไทย ด้วยเหตุผลที่มันช่วยให้คุณคว้ากำไรจากความผันผวนของราคาในช่วงสั้นไปจนถึงกลาง โดยไม่จำเป็นต้องจับตาหน้าจอตลอดเวลาเหมือนกับการเทรดรายวัน บทความนี้จะพาคุณสำรวจทุกส่วนของ Swing Trade ตั้งแต่รากฐาน หลักการสำคัญ กลยุทธ์ เครื่องมือ การจัดการความเสี่ยง และการนำไปใช้ในตลาดไทย เพื่อให้เทรดเดอร์ไทยทุกประสบการณ์สามารถนำไปปรับใช้ สร้างโอกาสทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นักลงทุนกำลังจัดการการเทรดอย่างสงบและตรวจสอบกราฟ แสดงถึงอิสระจากการเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา

Swing Trade คืออะไร? ทำความเข้าใจพื้นฐาน

Swing Trade คือวิธีการเทรดที่มุ่งหวังกำไรจากความแกว่งไกวของราคาสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น สกุลเงินหรือคริปโต โดยผู้เทรดจะถือสินทรัพย์ไว้ในช่วงเวลาสั้นๆ ไปจนถึงกลางๆ ซึ่งอาจยาวนาน 2-3 วัน จนถึงหลายสัปดาห์ หรือบางกรณีถึง 2-3 เดือน เป้าหมายหลักคือการเข้าซื้อตอนที่ราคาอยู่ใกล้จุดต่ำสุดในแนวโน้มขาขึ้น หรือแนวรับ แล้วขายเมื่อราคาพุ่งถึงจุดสูงสุด หรือแนวต้าน ในทางตรงข้าม หากเป็นการ short sell ก็จะเข้าตอนราคาสูงสุดและปิดเมื่อลงถึงจุดต่ำ

แนวทางนี้แตกต่างจาก scalping หรือ day trade ที่เน้นกำไรจากความเคลื่อนไหวเล็กๆ ในไม่กี่นาทีหรือภายในวันเดียว แต่ Swing Trade ใช้ประโยชน์จากความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนกว่าในกรอบเวลาที่กว้างขึ้น ทำให้มีโอกาสวิเคราะห์และตัดสินใจได้อย่างรอบคอบมากกว่า

กราฟการเงินแสดงความแกว่งไกวของราคาที่ชัดเจน พร้อมจุดเข้าและออกสำหรับการทำกำไร

หลักการทำงานและคุณสมบัติเด่นของ Swing Trade

Swing Trade อาศัยการวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นหลัก เพื่อค้นหาจุดเข้าและออกที่เหมาะสม ผู้เทรดจะจับตาดูการเกิดแนวโน้ม ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง และเข้าตำแหน่งในช่วงที่ราคาเริ่มพลิกตัวจากแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ คุณสมบัติที่โดดเด่น ได้แก่ ระยะเวลาถือครองปกติ 2-3 วันถึงหลายสัปดาห์ การพึ่งพากราฟราคา อินดิเคเตอร์ และรูปแบบกราฟเพื่อกำหนดจุดสำคัญ ความยืดหยุ่นที่ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอทั้งวัน จึงเหมาะกับคนที่มีงานประจำ และเป้าหมายกำไรที่สูงกว่า day trade แต่ไม่เทียบเท่า position trade

เปรียบเทียบ Swing Trade กับกลยุทธ์อื่น: Day Trade, Scalping, Position Trading

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ลองมาดูการเปรียบเทียบ Swing Trade กับกลยุทธ์ยอดนิยมอื่นๆ กัน

คุณสมบัติ Scalping Day Trade Swing Trade Position Trade
ระยะเวลาถือครอง วินาทีถึงนาที นาทีถึงชั่วโมง (ปิดภายในวัน) วันถึงสัปดาห์ สัปดาห์ถึงปี
ความถี่ในการเทรด สูงมาก สูง ปานกลาง ต่ำ
เป้าหมายกำไรต่อครั้ง น้อยมาก น้อย ปานกลาง มาก
ความเสี่ยงต่อครั้ง ต่ำมาก ต่ำ ปานกลาง สูง
เวลาเฝ้าจอ สูงมาก (ต้องเฝ้าตลอด) สูง (เฝ้าเกือบตลอด) ปานกลาง (ดูวันละ 1-2 ครั้ง) ต่ำ (ดูสัปดาห์ละครั้ง)
ประเภทการวิเคราะห์ เทคนิค (กราฟแท่งเทียน, Volume) เทคนิค (กราฟ 1-5 นาที) เทคนิค (กราฟรายวัน, ราย 4 ชม.) พื้นฐาน + เทคนิค (กราฟรายสัปดาห์, รายเดือน)
เหมาะสำหรับ ผู้เชี่ยวชาญ, มีเวลามาก ผู้มีประสบการณ์, มีเวลามาก มือใหม่ถึงมืออาชีพ, มีเวลาน้อย ผู้ลงทุนระยะยาว, มีความอดทนสูง

สำหรับเทรดเดอร์ในไทย การเลือกกลยุทธ์ควรคำนึงถึงวิถีชีวิต เวลาที่จัดสรรได้ และขนาดทุน Day trade อาจเหมาะกับคนที่มีเวลาว่างทั้งวันและทุนเพียงพอ แต่ Swing trade ให้ความยืดหยุ่นสูงกว่า และทำควบคู่กับงานประจำได้สะดวก

บุคคลกำลังใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น moving averages และ RSI บนหน้าจอคอมพิวเตอร์สำหรับการเทรดเชิงกลยุทธ์

ข้อดีและข้อเสียของการทำ Swing Trade

ทุกแนวทางการเทรดล้วนมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน Swing trade ก็ไม่ต่างกัน การรู้จักข้อดีข้อเสียเหล่านี้จะช่วยให้คุณประเมินว่ามันเหมาะกับตัวเองหรือไม่

ข้อดี (Pros)

  • ลดความเครียด: ไม่ต้องจับจ้องหน้าจอทั้งวันเหมือน day trade จึงมีเวลาส่วนตัวมากขึ้น และลดแรงกดดันจากการตัดสินใจฉับพลัน
  • ศักยภาพกำไรสูงกว่า day trade: ด้วยการถือยาวนานกว่า สามารถคว้ากำไรจากความเคลื่อนไหวใหญ่ได้มากกว่า
  • มีเวลาวิเคราะห์มากขึ้น: สามารถวางแผนและศึกษาข้อมูลเทคนิคได้ละเอียด โดยไม่เร่งรีบ
  • ค่าคอมมิชชั่นและสเปรดต่ำกว่า: เทรดน้อยครั้งกว่า day trade หรือ scalping จึงประหยัดค่าใช้จ่ายโดยรวม
  • เหมาะกับตลาดที่มีแนวโน้มชัด: ทำกำไรดีในตลาดที่ราคาแกว่งเป็นจังหวะ

ข้อเสีย (Cons)

  • ความเสี่ยงจาก gap: ถ้ามีข่าวใหญ่ตอนตลาดปิด ราคาอาจกระโดดเปิด ทำให้ stop loss ไม่ทำงานตามแผน
  • เงินทุนถูกผูกมัด: ถือสินทรัพย์หลายวันหรือสัปดาห์ ทุนบางส่วนจึงไม่สามารถใช้ในโอกาสอื่นได้
  • ความผันผวนตลาด: แนวโน้มอาจพลิกผันกะทันหันจากข่าวไม่คาดคิด หากไม่จัดการความเสี่ยงดี อาจขาดทุนหนัก
  • ต้องมีความรู้เทคนิค: การหาจุดเข้าออกต้องเข้าใจเครื่องมือและรูปแบบกราฟ
  • อาจพลาดโอกาสสั้นๆ: มุ่งที่แกว่งใหญ่ อาจมองข้ามกำไรเล็กน้อยระหว่างวัน

กลยุทธ์และเครื่องมือสำคัญสำหรับ Swing Trade

การ Swing trade ที่สำเร็จต้องมีกลยุทธ์ชัดเจนและเครื่องมือวิเคราะห์ที่เหมาะสม เพื่อเพิ่มโอกาสชนะ

กลยุทธ์ยอดนิยม (Popular Strategies)

  1. Trend Following (การตามแนวโน้ม): เข้าตามทิศทางแนวโน้มที่ชัด เช่น ซื้อในขาขึ้น ขายในขาลง ใช้ moving average ยืนยัน
  2. Breakout Trading (การเทรดตามการทะลุ): เข้าเมื่อราคาทะลุแนวรับหรือต้านสำคัญ สัญญาณเริ่มแนวใหม่หรือเคลื่อนไหวแรง
  3. Support and Resistance Trading (การเทรดตามแนวรับแนวต้าน): ซื้อตอนราคาแตะแนวรับและมีสัญญาณพลิก หรือ short ตอนแตะแนวต้านและพลิกลง
  4. Retracement Trading (การเทรดตามการย่อตัว): ซื้อในขาขึ้นตอนราคาย่อลงเล็กน้อย หรือ short ในขาลงตอนดีดขึ้น ใช้ Fibonacci retracement หาจุดย่อ

เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่จำเป็น (Essential Technical Analysis Tools)

  • Moving Averages (เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่): ช่วยระบุแนวโน้มและจุดพลิก เช่น SMA และ EMA
  • RSI (Relative Strength Index): วัดภาวะ overbought หรือ oversold เพื่อหาจุดกลับตัว
  • MACD (Moving Average Convergence Divergence): วัดความสัมพันธ์ค่าเฉลี่ยสองเส้น ดูโมเมนตัมและการพลิก
  • Fibonacci Retracement (ฟีโบนัชชี): หาแนวรับต้านจากย่อตัว และจุดเข้า-ออก
  • Volume (ปริมาณการซื้อขาย): ยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มหรือการทะลุ

การบริหารความเสี่ยงและจิตวิทยาการเทรดใน Swing Trade

การจัดการความเสี่ยงและจิตใจคือกุญแจแยกผู้ชนะจากผู้แพ้ โดยเฉพาะใน Swing trade ที่ถือข้ามคืน

กฎเหล็กของการบริหารความเสี่ยง (Golden Rules of Risk Management)

  1. กำหนด Stop Loss (จุดหยุดขาดทุน) และ Take Profit (จุดทำกำไร): ทุกเทรดต้องตั้งเพื่อจำกัดขาดทุนและล็อกกำไร
  2. การบริหารเงินทุน (Position Sizing): คำนวณขนาดเทรดให้เหมาะกับพอร์ต เพื่อไม่ให้ขาดทุนครั้งเดียวทำลายทั้งหมด
  3. ไม่เสี่ยงเกิน 1-2% ของพอร์ตต่อการเทรด: กฎพื้นฐานที่ช่วยป้องกันล้างพอร์ตแม้ขาดทุนต่อเนื่อง
  4. อัตราส่วน Risk-Reward (ความเสี่ยงต่อผลตอบแทน): เลือกเทรดที่ ratio ดี เช่น 1:2 หมายถึงเสี่ยง 1 ได้ 2

รับมือกับจิตวิทยาการเทรด: บทเรียนสำหรับเทรดเดอร์ไทย

จิตวิทยาคืออุปสรรคใหญ่สำหรับเทรดเดอร์ไทยหลายคน โดยเฉพาะ loss aversion ที่ทำให้กลัวขาดทุนมากกว่าแสวงกำไร ส่งผลให้ตัดสินใจผิด เช่น ไม่กล้าตัดขาดทุน หรือถือขาดทุนนานด้วยหวังพลิก

  • ความกลัวและความโลภ (Fear and Greed): กลัวทำให้ขายเร็วหรือไม่เข้า ขณะที่โลภทำให้ถือนานหรือเทรดเกิน
  • การควบคุมอารมณ์ (Emotional Control): ตัดสินใจจากเหตุผลและแผน ไม่ใช่อารมณ์
  • การมีวินัย (Discipline): ยึดแผนเคร่งครัด รวมถึง stop loss และ take profit
  • การบันทึกการเทรด (Trading Journal): จดทุกเทรดเพื่อทบทวน เรียนรู้ผิดพลาด และปรับกลยุทธ์

Swing Trade ในตลาดไทย: โอกาสและความท้าทาย

Swing trade ในตลาดไทย ไม่ว่าจะหุ้น (SET) Forex หรือคริปโต มีทั้งโอกาสและอุปสรรคเฉพาะที่ควรรู้ เพื่อปรับตัวให้เหมาะ

แพลตฟอร์มและโบรกเกอร์ที่เหมาะสมสำหรับเทรดเดอร์ไทย

การเลือกโบรกเกอร์และแพลตฟอร์มคือขั้นตอนสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ไทย

  • ตลาดหุ้นไทย (SET): โบรกเกอร์ชั้นนำในไทยมีแอปใช้งานง่าย เช่น Liberator, Phillip Capital, Yuanta Securities หรือ Kasikorn Securities พร้อมเครื่องมือเทคนิคในตัว
  • ตลาด Forex: เทรดเดอร์ไทยนิยมโบรกเกอร์ต่างชาติ เช่น XM, Exness หรือ FxPro ที่ใช้ MT4/MT5 ครบเครื่อง แต่ต้องตรวจสอบความน่าเชื่อถือและการกำกับดูแล
  • ตลาดคริปโตเคอร์เรนซี: แพลตฟอร์มที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. เช่น Bitkub, Satang Pro หรือ Zipmex (ปัจจุบันอยู่ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ) ถือว่าปลอดภัยกว่า

ข้อควรพิจารณาด้านกฎหมายและภาษีในประเทศไทย

  • ภาษีหุ้น: กำไรจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยมักยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่เงินปันผลเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10%
  • ภาษี Forex: ยังไม่มีกฎเฉพาะ แต่กำไรอาจนับเป็นเงินได้อื่น ต้องรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
  • ภาษีคริปโตเคอร์เรนซี: กำไรจากการขายนับเป็นเงินได้ เสียภาษีตามขั้นบันได อาจหัก ณ ที่จ่าย 15% ในบางกรณี ควรศึกษาจากกรมสรรพากรหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

Swing trade ในหุ้นไทยต้องระวังความผันผวนจากนโยบายรัฐหรือข่าวอุตสาหกรรม ส่วน Forex และคริปโตมีสภาพคล่องสูงแต่ผันผวนหนัก

บทสรุป: ก้าวสู่การเป็น Swing Trader ที่ประสบความสำเร็จ

Swing trade คือกลยุทธ์ที่ทรงพลังในการสร้างผลตอบแทน โดยเฉพาะสำหรับเทรดเดอร์ไทยที่เวลาจำกัดแต่ตั้งใจเรียนรู้ การเข้าใจพื้นฐาน กลยุทธ์ เครื่องมือ การจัดการความเสี่ยง และจิตวิทยา คือสิ่งที่ขาดไม่ได้

ความสำเร็จไม่ได้มาจากโชค แต่จากศึกษาต่อเนื่อง ฝึกฝนด้วยวินัย และเรียนรู้จากประสบการณ์ การนำไปใช้ในตลาดไทย ร่วมกับเลือกแพลตฟอร์มเหมาะสมและเข้าใจกฎภาษี จะช่วยสร้างกำไรยั่งยืน ขอให้โชคดีในเส้นทาง Swing trade!

Swing Trade คืออะไร และต่างจาก Day Trade อย่างไร?

Swing Trade คือกลยุทธ์การเทรดที่มุ่งเน้นการทำกำไรจากการแกว่งตัวของราคาในระยะสั้นถึงปานกลาง โดยถือครองสินทรัพย์ตั้งแต่ 2-3 วันถึงหลายสัปดาห์

ต่างจาก Day Trade ที่เน้นการเทรดและปิดสถานะทั้งหมดภายในวันเดียว โดยไม่ถือข้ามคืน ทำให้ Swing Trade มีความยืดหยุ่นกว่าและใช้เวลาเฝ้าจอน้อยกว่า Day Trade แต่ก็รับความเสี่ยงจาก Gap (ราคาเปิดโดด) ได้มากกว่า

Swing Trade เหมาะกับเทรดเดอร์แบบไหน?

Swing Trade เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีความรู้พื้นฐานด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค มีเวลาในการวิเคราะห์กราฟวันละ 1-2 ครั้ง แต่ไม่สามารถเฝ้าหน้าจอได้ตลอดวัน เช่น ผู้ที่มีงานประจำ และต้องการทำกำไรจากตลาดในระยะกลาง

ควรใช้โบรกเกอร์หรือแพลตฟอร์มไหนดีสำหรับ Swing Trade ในประเทศไทย?

สำหรับการเทรดหุ้นไทย สามารถใช้โบรกเกอร์ในประเทศ เช่น Liberator, Phillip Capital, Yuanta Securities หรือ Kasikorn Securities

สำหรับ Forex เทรดเดอร์ไทยนิยมใช้โบรกเกอร์ต่างประเทศ เช่น XM หรือ Exness และสำหรับคริปโตเคอร์เรนซี แพลตฟอร์มที่ได้รับใบอนุญาตในไทย เช่น Bitkub หรือ Satang Pro เป็นตัวเลือกที่น่าเชื่อถือ ควรตรวจสอบความน่าเชื่อถือและการกำกับดูแลของแต่ละแพลตฟอร์มเพิ่มเติม

Swing Trade ต้องใช้เงินทุนเริ่มต้นเท่าไหร่?

จำนวนเงินทุนเริ่มต้นสำหรับ Swing Trade ไม่มีข้อกำหนดตายตัว ขึ้นอยู่กับตลาดที่เทรดและขนาดของความเสี่ยงที่ยอมรับได้

  • **ตลาดหุ้น:** อาจเริ่มต้นที่หลักพันบาทขึ้นไป
  • **ตลาด Forex:** สามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่หลักร้อยดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 3,000-5,000 บาท) ด้วยการใช้ Leverage
  • **ตลาดคริปโต:** สามารถเริ่มต้นได้ด้วยจำนวนเงินที่น้อยกว่าหลักพันบาท

อย่างไรก็ตาม ควรเริ่มต้นด้วยเงินทุนที่คุณพร้อมจะสูญเสีย และเพิ่มขนาดเงินทุนเมื่อมีประสบการณ์และความมั่นใจมากขึ้น

มีเทคนิคหรืออินดิเคเตอร์อะไรบ้างที่นิยมใช้ใน Swing Trade?

เทคนิคยอดนิยมได้แก่ Trend Following, Breakout Trading, Support and Resistance Trading และ Retracement Trading

อินดิเคเตอร์ที่จำเป็นได้แก่ Moving Averages (MA), RSI (Relative Strength Index), MACD (Moving Average Convergence Divergence) และ Fibonacci Retracement ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการระบุจุดเข้าและออก

Swing Trade มีความเสี่ยงอะไรบ้าง และจะจัดการอย่างไร?

ความเสี่ยงหลักๆ ได้แก่ ความเสี่ยงจาก Gap (ราคาเปิดโดด), เงินทุนจม, และความผันผวนของตลาดจากข่าวสารที่ไม่คาดฝัน

การจัดการความเสี่ยงทำได้โดย:

  • กำหนด Stop Loss และ Take Profit ทุกครั้ง
  • บริหารขนาดการเทรด (Position Sizing) ไม่ให้เสี่ยงเกิน 1-2% ของพอร์ตต่อการเทรด
  • กระจายความเสี่ยงโดยไม่เทรดสินทรัพย์เดียวมากเกินไป

การเทรด Swing Trade ในตลาด Forex, หุ้น และคริปโต มีความแตกต่างกันอย่างไร?

ความแตกต่างหลักๆ คือ:

  • **Forex:** มีสภาพคล่องสูงตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ มี Leverage สูง
  • **หุ้น:** มีเวลาทำการจำกัด (ตามตลาดหลักทรัพย์) มีปัจจัยพื้นฐานของบริษัทเข้ามาเกี่ยวข้อง
  • **คริปโต:** ตลาดเปิด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ มีความผันผวนสูงมาก และมีปัจจัยด้านข่าวสารและเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง

แต่ละตลาดมีลักษณะเฉพาะที่ต้องปรับกลยุทธ์ Swing Trade ให้เหมาะสม

Swing Trade ต้องเสียภาษีในประเทศไทยอย่างไร?

สำหรับกำไรจากการเทรดหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยโดยทั่วไปได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

กำไรจากการเทรด Forex และคริปโตเคอร์เรนซี ถือเป็นเงินได้ที่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราก้าวหน้า และอาจมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% สำหรับคริปโตในบางกรณี

เนื่องจากกฎหมายภาษีมีการเปลี่ยนแปลงและมีความซับซ้อน ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีเพื่อความถูกต้อง

หากเป็นมือใหม่ ควรเริ่มต้นเรียนรู้ Swing Trade อย่างไร?

มือใหม่ควรเริ่มต้นด้วยการเรียนรู้พื้นฐานการวิเคราะห์ทางเทคนิค ทำความเข้าใจอินดิเคเตอร์ต่างๆ และฝึกฝนการอ่านกราฟ

  • เริ่มต้นด้วยบัญชีทดลอง (Demo Account) เพื่อฝึกฝนกลยุทธ์โดยไม่มีความเสี่ยง
  • ศึกษาจากแหล่งความรู้ที่น่าเชื่อถือ เช่น หนังสือ, คอร์สออนไลน์ หรือบทความจากผู้เชี่ยวชาญ
  • เริ่มด้วยเงินทุนจำนวนน้อยและบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด
  • จดบันทึกการเทรด (Trading Journal) เพื่อทบทวนและเรียนรู้จากประสบการณ์

การใช้ Stop Loss และ Take Profit ใน Swing Trade สำคัญอย่างไร?

การใช้ Stop Loss (จุดหยุดขาดทุน) และ Take Profit (จุดทำกำไร) มีความสำคัญอย่างยิ่งใน Swing Trade เพราะช่วยให้คุณ:

  • **จำกัดการขาดทุน:** Stop Loss ป้องกันไม่ให้คุณขาดทุนเกินกว่าที่ยอมรับได้ หากราคาเคลื่อนไหวผิดทาง
  • **ล็อกกำไร:** Take Profit ช่วยให้คุณสามารถรับรู้กำไรได้เมื่อราคาถึงเป้าหมาย โดยไม่ต้องเฝ้าหน้าจอหรือกังวลว่าราคาจะกลับตัว
  • **สร้างวินัย:** การตั้งจุดเหล่านี้ล่วงหน้าช่วยลดอารมณ์ความกลัวและความโลภในการตัดสินใจเทรด

ทั้งสองสิ่งนี้เป็นหัวใจของการบริหารความเสี่ยงและเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเทรดที่ดี

Author photo

發佈留言