ทำไมทองขึ้น: 6 ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนราคาทองคำพุ่งสูงในไทยและทั่วโลก

บทนำ: ทำไมราคาทองคำจึงกลายเป็นประเด็นร้อน?

ตลอดหลายปีมานี้ ราคาทองคำทั้งในตลาดโลกและในไทยพุ่งสูงขึ้นไม่หยุดหย่อน จนกลายเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างจับตามอง ไม่ว่านักลงทุนหรือคนทั่วไปจะสนใจ ทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่คนยอมรับมานานในฐานะตัวช่วยรักษาความมั่งคั่งและเป็นที่หลบภัยที่ปลอดภัย ได้รับความนิยมยิ่งขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจโลกและสถานการณ์การเมืองที่คลุมเครือ

ภาพประกอบแท่งทองคำและเหรียญทองที่ราคาสูงขึ้นพร้อมแผนที่โลกและองค์ประกอบวัฒนธรรมไทยในพื้นหลัง

สำหรับคนไทย ทองคำไม่ได้เป็นแค่เครื่องประดับหรือทางเลือกในการลงทุนเท่านั้น แต่ยังสอดคล้องกับวัฒนธรรมและประเพณีที่หยั่งรากลึก เช่น การซื้อทองเพื่อออมเงิน มอบให้เป็นของขวัญ หรือใช้ในพิธีสำคัญต่างๆ ซึ่งแสดงถึงความผูกพันอันแน่นแฟ้นของคนไทยกับโลหะมีค่าชนิดนี้ เมื่อราคาทอง “ขึ้น” จึงไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่ยังกระทบต่ออารมณ์และพฤติกรรมการใช้เงินของทุกคนในสังคมไทย บทความนี้จะพาคุณสำรวจปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ราคาทองพุ่งสูง พร้อมวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคตและเคล็ดลับสำหรับนักลงทุนไทยในการรับมือกับตลาดที่พลิกผัน

เจาะลึกปัจจัยหลักที่ทำให้ “ทองขึ้น”

ราคาทองคำไม่ได้ขยับจากสาเหตุเดียว แต่เกิดจากการรวมตัวของหลายแรงผลักดัน ไม่ว่าจะเป็นภาพรวมเศรษฐกิจ ความเสี่ยงจากสถานการณ์โลก หรือแม้แต่การตัดสินใจของนักลงทุนเอง ที่นี่เราจะมาดู 6 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมโยงกับบริบททั้งในไทยและต่างประเทศ เพื่อให้คุณเข้าใจภาพรวมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ภาพประกอบตาชั่งทองคำที่สมดุลปัจจัยเศรษฐกิจ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และความรู้สึกของนักลงทุน

1. เงินเฟ้อ (Inflation): เมื่ออำนาจซื้อเงินลดลง ทองคำคือที่พึ่ง

เงินเฟ้อคือสถานการณ์ที่ราคาสินค้าและบริการโดยรวมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เงินที่เรามีซื้อของได้น้อยลง เมื่อเงินเฟ้อพุ่งสูง เงินออมในอนาคตจะเสื่อมค่าลง นักลงทุนจึงหันไปหาสินทรัพย์ที่ช่วยรักษาหรือเพิ่มมูลค่าให้ ทองคำจึงถูกมองว่าเป็นเครื่องมือป้องกันเงินเฟ้อชั้นยอด เพราะมูลค่าของมันไม่ถูกผูกมัดกับสกุลเงินใดโดยตรง ทำให้มันคงทนต่อการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้

ภาพประกอบถุงเงินที่หดตัวข้างกองเหรียญทองที่เพิ่มขึ้น สัญลักษณ์ของการป้องกันเงินเฟ้อ

ในไทย เราก็เจอเงินเฟ้อที่ค่อยๆ สูงขึ้นเช่นกัน จากดัชนีราคาผู้บริโภคที่ปรับเพิ่ม สะท้อนค่าครองชีพที่แพงขึ้น ซึ่งทำให้คนไทยหันมาสนใจทองคำมากขึ้นเพื่อปกป้องทรัพย์สินจากแรงกัดเซาะนี้ รายงานภาวะเงินเฟ้อของธนาคารแห่งประเทศไทย ถือเป็นแหล่งข้อมูลหลักที่นักลงทุนใช้ติดตามความเคลื่อนไหวเหล่านี้ โดยเฉพาะในช่วงที่ราคาน้ำมันและสินค้าพื้นฐานผันผวน

2. นโยบายอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Policy): เฟดและธนาคารแห่งประเทศไทยส่งผลอย่างไร?

อัตราดอกเบี้ยเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดทิศทางราคาทอง โดยเฉพาะการตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด และธนาคารแห่งประเทศไทยหรือธปท. เมื่อธนาคารกลางขึ้นดอกเบี้ย สินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนอย่างพันธบัตรหรือเงินฝากจะดูน่าลงทุนกว่า ทองคำที่ไม่จ่ายดอกเบี้ยจึงอาจเสียความน่าสนใจไป

แต่ถ้าธนาคารกลางมีแนวโน้มลดดอกเบี้ยหรือคงไว้ในระดับต่ำนานๆ ต้นทุนในการถือทองคำก็ลดลง ทำให้มันกลายเป็นตัวเลือกที่น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุน ในช่วงที่เฟดส่งสัญญาณว่าจะรักษาระดับดอกเบี้ยสูงหรืออาจลดลงในเร็วๆ นี้ ก็ยิ่งกระตุ้นให้ราคาทองทั้งโลกและในไทยขยับตัวตาม โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึงผลกระทบต่อค่าเงินและการค้า

3. ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (US Dollar Index): คู่ตรงข้ามของทองคำ?

ราคาทองมักเคลื่อนไหวตรงข้ามกับดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ DXY เพราะทองคำซื้อขายด้วยดอลลาร์เป็นหลักทั่วโลก ถ้าดอลลาร์อ่อนค่า ผู้ถือเงินสกุลอื่นจะซื้อทองได้ถูกกว่า ส่งผลให้ความต้องการเพิ่มและราคาพุ่ง

ตรงกันข้าม ถ้าดอลลาร์แข็ง ทองคำจะแพงขึ้นสำหรับคนอื่นๆ ความต้องการจึงลดลงและราคาอาจร่วง การเฝ้าดูดัชนีนี้จึงจำเป็นสำหรับนักลงทุนทอง เพราะมันบ่งชี้ถึงแรงกระทบหลักในตลาดโลก โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินใหญ่ๆ

4. ความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical Instability): ทองคำคือสินทรัพย์ปลอดภัยยามวิกฤต

ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง การขัดแย้งระหว่างประเทศ สงคราม หรือวิกฤตเศรษฐกิจ นักลงทุนมักมองหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัยเพื่อคุ้มครองทรัพย์สิน และทองคำคือตัวเลือกที่เชื่อถือได้มานาน

เหตุการณ์ตึงเครียดในหลายพื้นที่ เช่น สงครามยูเครน ความขัดแย้งตะวันออกกลาง หรือความขัดแย้งทางการค้าระหว่างชาติมหาอำนาจ ล้วนกระตุ้นให้คนรีบซื้อทองเพราะมันเป็นที่หลบภัยที่มั่นคงและจับต้องได้ เมื่อตลาดหุ้นและค่าเงินสั่นคลอน ความกังวลเหล่านี้ดึงเงินทุนไหลเข้าทอง ส่งผลให้ราคาขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในไทย เราก็เห็นกระแสนี้ชัดเจนจากข่าวต่างประเทศที่กระทบจิตใจนักลงทุน

5. อุปสงค์และอุปทาน (Supply and Demand): การซื้อของธนาคารกลางและตลาดค้าปลีก

เหมือนสินค้าอื่นๆ ราคาทองขึ้นลงตามกฎอุปสงค์และอุปทาน ถ้าความต้องการมากกว่าปริมาณที่มี ราคาก็สูงขึ้น ปัจจัยที่กำหนดรวมถึงการขุดทองจากเหมืองทั่วโลก การใช้ในอุตสาหกรรม เครื่องประดับ และการลงทุน

ช่วงหลังๆ ธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะจากประเทศกำลังพัฒนาอย่างจีนและอินเดีย ซื้อทองจำนวนมากเพื่อกระจายความเสี่ยงในทุนสำรองและลดการพึ่งพาดอลลาร์ รายงานแนวโน้มอุปสงค์ทองคำจาก World Gold Council ยืนยันว่าธนาคารกลางเป็นผู้ซื้อสุทธิต่อเนื่อง ซึ่งช่วยหนุนราคาให้มั่นคง โดยในไทย การนำเข้าทองเพื่อการลงทุนก็เพิ่มขึ้นตามกระแสนี้

6. การเก็งกำไรและจิตวิทยาตลาด (Speculation and Market Sentiment): แรงขับเคลื่อนระยะสั้น

นอกจากพื้นฐานเศรษฐกิจ การเก็งกำไรและอารมณ์ตลาดก็ผลักราคาทองในระยะสั้นได้ เมื่อนักลงทุนเชื่อว่าราคาจะขึ้นต่อ พวกเขาก็แห่ซื้อเพื่อหวังกำไร ทำให้ราคาพุ่งตาม

ข่าวสาร การวิเคราะห์ หรือกระแสโซเชียลอย่าง “ทองขึ้น Pantip” สามารถสร้างคลื่นกระเพื่อมได้ นักลงทุนบางคนใช้วิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อจับจังหวะซื้อขาย ซึ่งนำไปสู่ความผันผวนรายวัน โดยเฉพาะในตลาดไทยที่ตอบสนองไวต่อข่าวภายในและภายนอก

แนวโน้มราคาทองคำในอนาคต: มุมมองปี 2567 และ 2568

การพยากรณ์ราคาทองในอนาคตไม่ง่าย แต่จากปัจจัยที่กล่าวมา เราสามารถมองเห็นโอกาสที่ราคาจะยังสูงขึ้นในปี 2567 และ 2568 ด้วยแรงหนุนหลายด้าน

ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่มองว่า แม้เงินเฟ้อจะชะลอ แต่ความเสี่ยงถดถอยเศรษฐกิจโลกยังอยู่ บวกกับนโยบายการเงินที่ธนาคารกลางหลายแห่งอาจผ่อนคลายด้วยการลดดอกเบี้ยปลายปี 2567 หรือต้นปี 2568 ซึ่งจะช่วยราคาทอง นอกจากนี้ สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังตึงเครียดก็ทำให้ทองเป็นที่หลบภัยต่อไป

อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์ที่แข็งค่าบางช่วงหรือดอกเบี้ยจริงที่สูง อาจกดราคาในระยะสั้น นักลงทุนควรติดตามข่าวเศรษฐกิจใกล้ชิดและวิเคราะห์รอบด้าน บทวิเคราะห์การลงทุนทองคำจาก Finnomena มีข้อมูลอัปเดตแนวโน้มที่น่าเชื่อถือเสมอ โดยเฉพาะการคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ชั้นนำ

ผลกระทบของ “ทองขึ้น” ต่อเศรษฐกิจและนักลงทุนไทย

ราคาทองที่พุ่งสูงส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยและนักลงทุนในหลายทาง สำหรับภาพรวม การส่งออกทองอาจเพิ่มถ้าราคาโลกสูง แต่การนำเข้าสำหรับลงทุนหรืออุตสาหกรรมก็แพงขึ้น ซึ่งกระทบดุลการค้า

สำหรับนักลงทุนไทย มันคือโอกาสทำกำไรสำหรับคนถือทองเก่า แต่ท้าทายสำหรับมือใหม่ที่ต้องจ่ายแพง ผู้ถือทองแท่งหรือรูปพรรณเห็นมูลค่าสูงขึ้น แต่ต้องคำนึงถึงสภาพคล่องและส่วนต่างราคา ขณะที่เงินบาทที่อ่อนแอกว่าทองยิ่งกระตุ้นให้คนหันมาลงทุนเพื่อรักษาทรัพย์ โดยเฉพาะในบริบทที่ค่าครองชีพไทยเพิ่มขึ้น

กลยุทธ์การลงทุนทองคำเมื่อราคาสูงขึ้น: สำหรับนักลงทุนไทย

เมื่อราคาทองอยู่ในจุดสูง นักลงทุนไทยควรเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม เพื่อให้ได้ผลตอบแทนดีและจัดการความเสี่ยงได้

การซื้อขายทองคำแท่งและทองรูปพรรณ

วิธีนี้เป็นที่นิยมสุดในไทย คุณสามารถซื้อทองแท่ง 96.5% หรือ 99.99% และทองรูปพรรณจากร้านดังอย่างฮั่วเซ่งเฮงหรือออสสิริส ข้อดีคือจับต้องได้ สภาพคล่องดีในไทย แต่ต้องระวังส่วนต่างราคาและค่ากำเหน็จสำหรับรูปพรรณ การซื้อออนไลน์จากร้านใหญ่ยังช่วยลดความยุ่งยากในการเก็บรักษา โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้น

กองทุนรวมทองคำและ Gold Futures

ถ้าต้องการความสะดวกโดยไม่ต้องเก็บทองเอง กองทุนรวมทองคำคือทางเลือกดี มันลงทุนตรงหรือผ่านกองทุนต่างประเทศ ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องเก็บและขายง่าย นอกจากนี้ Gold Futures ในตลาด TFEX เหมาะสำหรับคนมีประสบการณ์ เพราะผันผวนสูงแต่โอกาสกำไรก็มาก ธนาคารกสิกรไทยและสถาบันอื่นๆ มีผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้เลือก โดยช่วยให้เข้าถึงตลาดโลกได้ง่ายขึ้น

การกระจายความเสี่ยงและกำหนดจุดทำกำไร/ตัดขาดทุน

ไม่ว่าทองจะแพงแค่ไหน การกระจายความเสี่ยงยังสำคัญ อย่าทุ่มหมดที่ทอง แต่แบ่งไปหุ้น อสังหาฯ หรือพันธบัตร การตั้งจุดทำกำไรและตัดขาดทุนชัดเจนช่วยให้ตัดสินใจมีวินัย โดยเฉพาะในตลาดที่ผันผวน เช่น การใช้เครื่องมือออนไลน์ช่วยติดตามและแจ้งเตือน

ข้อควรระวังในการลงทุนทองคำ

ถึงทองจะน่าสนใจ แต่ก็มีจุดที่นักลงทุนไทยต้องระวัง:

  • ความผันผวนของราคา: แม้ปลอดภัย แต่ราคาสามารถแกว่งแรงในระยะสั้นจากปัจจัยต่างๆ
  • ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน: ลงทุนที่อิงตลาดโลกต้องเจอความผันผวนบาท-ดอลลาร์
  • ค่าธรรมเนียมและส่วนต่างราคา: ซื้อขายในไทยมีค่าต่างๆ ที่ลดผลตอบแทน
  • ความเสี่ยงในการจัดเก็บ: ทองจำนวนมากเสี่ยงถูกขโมยหรือหาย
  • ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย: กำไรมาจากราคาเท่านั้น ไม่เหมือนเงินฝาก

สรุป: เข้าใจ “ทองขึ้น” เพื่อการตัดสินใจลงทุนที่ชาญฉลาด

ราคาทองที่พุ่งสูงมาจากหลายปัจจัยผสมผสาน เช่น เงินเฟ้อ นโยบายดอกเบี้ย ความผันผวนดอลลาร์ ความไม่มั่นคงโลก อุปสงค์-อุปทาน และการเก็งกำไร การเข้าใจลึกซึ้งช่วยให้นักลงทุนวางแผนได้ดี

ทองยังคงเป็นสินทรัพย์หลักในการรักษาความมั่งคั่งและยามวิกฤต ในไทยมีทางเลือกหลากหลายตั้งแต่ทองแท่ง รูปพรรณ กองทุน ไปจนถึงฟิวเจอร์ส ควรศึกษาดีๆ ประเมินความเสี่ยงที่รับได้ และกระจายพอร์ต เพื่อให้ทองช่วยเสริมความมั่นคงทางการเงินระยะยาว โดยเฉพาะในยุคที่เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายจากปัจจัยภายนอก

ราคาทองวันนี้ขึ้นเพราะอะไร?

ราคาทองคำขึ้นในแต่ละวันอาจเกิดจากหลายปัจจัยรวมกัน เช่น ข่าวเศรษฐกิจโลกที่ออกมาไม่ดี ทำให้เกิดความกังวลและนักลงทุนหันเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัย, ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง, หรือการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้ ซึ่งล้วนเป็นแรงหนุนราคาทองคำ

ทองขึ้นแล้วควรซื้อหรือขายดีสำหรับนักลงทุนไทย?

การตัดสินใจซื้อหรือขายขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนและมุมมองส่วนบุคคล หากคุณเชื่อว่าราคาทองคำยังมีแนวโน้มสูงขึ้นอีกในระยะยาว การซื้อเพื่อสะสมอาจเป็นทางเลือก แต่หากคุณต้องการทำกำไรในระยะสั้น และเห็นว่าราคาได้ปรับขึ้นมามากแล้ว การทยอยขายทำกำไรบางส่วนก็เป็นกลยุทธ์ที่ดี สิ่งสำคัญคือการมีแผนการลงทุนที่ชัดเจนและไม่ลงทุนตามกระแส

ทองขึ้นไม่หยุดแล้วในอนาคตปี 2567-2568 จะเป็นอย่างไร?

นักวิเคราะห์หลายคนคาดการณ์ว่าราคาทองคำยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้อีกในปี 2567-2568 เนื่องจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีอยู่ รวมถึงแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ อย่างไรก็ตาม ราคาอาจมีการปรับฐานหรือผันผวนได้ตามข่าวสารและข้อมูลเศรษฐกิจที่เข้ามา

นักลงทุนมือใหม่ในไทยควรเริ่มลงทุนทองคำอย่างไรให้ปลอดภัย?

สำหรับนักลงทุนมือใหม่ในไทย ควรเริ่มต้นด้วยการศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน เริ่มต้นจากจำนวนเงินน้อยๆ ที่สามารถรับความเสี่ยงได้ และพิจารณาจากรูปแบบการลงทุนที่เข้าใจง่าย เช่น การซื้อทองคำแท่งจากร้านทองที่น่าเชื่อถือ หรือการลงทุนผ่านกองทุนรวมทองคำที่บริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญ และอย่าลืมกระจายความเสี่ยงไปยังสินทรัพย์อื่นๆ ด้วย

การลงทุนทองคำในรูปแบบต่างๆ เช่น ทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ กองทุน มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไรสำหรับคนไทย?

  • ทองคำแท่ง: ข้อดีคือซื้อขายง่าย มีสภาพคล่องสูง ไม่ต้องเสียค่ากำเหน็จ (ส่วนใหญ่) ข้อเสียคือต้องหาวิธีจัดเก็บที่ปลอดภัย
  • ทองรูปพรรณ: ข้อดีคือสามารถสวมใส่ได้ มีมูลค่าทางจิตใจ ข้อเสียคือมีค่ากำเหน็จสูงกว่าทองคำแท่ง และส่วนต่างราคาซื้อขายที่มากกว่า
  • กองทุนรวมทองคำ: ข้อดีคือไม่ต้องจัดเก็บทองคำเอง มีผู้จัดการกองทุนดูแล เหมาะสำหรับนักลงทุนรายย่อย ข้อเสียคือมีค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการ

ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ราคาทองในไทยมีความแตกต่างหรือสัมพันธ์กับตลาดโลก?

ราคาทองคำในไทยจะอ้างอิงกับราคาทองคำในตลาดโลกเป็นหลัก แต่จะมีการปรับด้วยอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และอาจมีส่วนต่างราคาที่ร้านทองไทยบวกเพิ่มเข้าไป นอกจากนี้ อุปสงค์และอุปทานภายในประเทศ รวมถึงช่วงเทศกาลสำคัญๆ ของไทย ก็อาจส่งผลต่อราคาในประเทศได้บ้าง

หาข้อมูลและติดตามราคาทองขึ้นลงรายวันในประเทศไทยได้จากแหล่งใดที่น่าเชื่อถือ?

คุณสามารถติดตามราคาทองคำในประเทศไทยได้จากเว็บไซต์ของสมาคมค้าทองคำแห่งประเทศไทย (goldtraders.or.th) หรือเว็บไซต์ของร้านทองชั้นนำ เช่น ฮั่วเซ่งเฮง (Hua Seng Heng) และออสสิริส (Ausiris) ซึ่งจะมีการอัปเดตราคาซื้อขายรายวันอย่างต่อเนื่อง

ถ้าทองขึ้นสูงมาก ควรพิจารณาเรื่องภาษีหรือค่าธรรมเนียมการซื้อขายในไทยอย่างไร?

ในประเทศไทย การซื้อขายทองคำแท่งสำหรับนักลงทุนรายย่อยมักจะไม่มีการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหรือภาษีกำไรจากการขายโดยตรง อย่างไรก็ตาม การซื้อขายทองรูปพรรณจะมีค่ากำเหน็จ และการลงทุนในกองทุนรวมทองคำหรือ Gold Futures อาจมีค่าธรรมเนียมการซื้อขายและค่าธรรมเนียมการจัดการที่แตกต่างกันไป ควรตรวจสอบรายละเอียดกับสถาบันการเงินหรือร้านทองที่คุณทำธุรกรรม

“ทองขึ้น Pantip” มีประเด็นอะไรน่าสนใจที่นักลงทุนไทยควรรู้บ้าง?

ประเด็น “ทองขึ้น Pantip” มักจะมีการถกเถียงและแบ่งปันประสบการณ์จากนักลงทุนไทยหลากหลายมุมมอง ซึ่งอาจรวมถึงคำถามเรื่องช่วงเวลาที่เหมาะสมในการซื้อ/ขาย, การเปรียบเทียบร้านทอง, การแนะนำวิธีการลงทุนใหม่ๆ, หรือการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวโน้มในอนาคต การติดตามประเด็นเหล่านี้เป็นประโยชน์ในการรับรู้ถึง จิตวิทยาตลาด และมุมมองของนักลงทุนรายย่อยในประเทศ

ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยสำหรับคนไทยในระยะยาวหรือไม่?

โดยภาพรวม ทองคำยังคงมีบทบาทสำคัญในฐานะ สินทรัพย์ปลอดภัย และเป็นเครื่องมือในการรักษาความมั่งคั่งในระยะยาวสำหรับคนไทย เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ทนทานต่อภาวะเงินเฟ้อและความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม การลงทุนในทองคำควรเป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาสินทรัพย์เพียงชนิดเดียว

Author photo

發佈留言