
เงินมีกี่ประเภท? คู่มือเข้าใจเงินทุกรูปแบบเพื่อบริหารการเงินยุคใหม่ให้ชาญฉลาด
บทนำ: เงินคืออะไร? ทำไมต้องรู้ประเภทของเงิน?
ในยุคสมัยที่การเงินซับซ้อนไปด้วยปัจจัยหลากหลาย คำว่าเงินไม่ได้หมายถึงแค่ธนบัตรหรือเหรียญที่เราถือใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเท่านั้น การรู้จักความหมายของเงินและรูปแบบต่างๆ ของมันช่วยให้เราเห็นภาพรวมของระบบเศรษฐกิจชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยที่กำลังก้าวสู่สังคมดิจิทัลเต็มรูปแบบ ความเข้าใจนี้ยังเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการวางแผนการเงินส่วนตัว การลงทุน และการดำเนินธุรกิจอีกด้วย

บทความนี้จะพาคุณสำรวจสาระสำคัญของเงิน ตั้งแต่คำจำกัด หน้าที่หลัก ไปจนถึงการแบ่งประเภททั้งแบบดั้งเดิมและนวัตกรรมใหม่ในยุคดิจิทัล เราจะชี้ให้เห็นความแตกต่างของคำว่าเงินในมุมมองต่างๆ เพื่อให้คุณมีมุมมองที่ครบถ้วนและนำไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเงินได้อย่างชาญฉลาด ท่ามกลางโลกการเงินที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว

หน้าที่หลักของเงิน: 3 บทบาทสำคัญในเศรษฐกิจ
ก่อนเจาะลึกถึงรูปแบบของเงิน เราควรเริ่มจากรากฐานที่ทำให้เงินมีคุณค่าและเป็นที่ยอมรับในระบบเศรษฐกิจ นั่นคือหน้าที่หลักของเงินซึ่งมีสามบทบาทสำคัญ ดังนี้

- สื่อกลางการแลกเปลี่ยน: นี่คือบทบาทที่ขาดไม่ได้ของเงิน เพราะมันช่วยให้การซื้อขายสินค้าและบริการราบรื่น โดยไม่ต้องพึ่งระบบแลกเปลี่ยนตรงกันแบบโบราณที่ยุ่งยาก ลองจินตนาการดูสิ หากไม่มีเงิน เราจะต้องหาคนที่อยากได้ของที่เรามีพอดีกับสิ่งที่เราต้องการ ซึ่งในสังคมยุคนี้แทบเป็นไปไม่ได้ เงินบาทที่เราใช้ซื้อของในตลาดหรือจ่ายบิลต่างๆ คือตัวอย่างชัดๆ ของบทบาทนี้
- หน่วยวัดมูลค่า: เงินทำหน้าที่เป็นเครื่องวัดมาตรฐานที่ช่วยกำหนดราคาของสินค้าและบริการ ทำให้เราสามารถเปรียบเทียบและตัดสินใจได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นราคาข้าวสาร ค่าโดยสารรถไฟฟ้า หรือค่าจ้าง ทุกอย่างแปลงเป็นหน่วยบาทได้หมด สิ่งนี้ทำให้การคำนวณทางเศรษฐกิจและการทำบัญชีมีระบบระเบียบมากขึ้น
- เก็บรักษามูลค่าและมาตรฐานชำระหนี้ในอนาคต: เงินช่วยรักษาอำนาจซื้อไว้ได้ชั่วระยะหนึ่ง ทำให้เราสามารถเก็บออมเพื่อใช้ในวันข้างหน้าได้ แม้เงินเฟ้ออาจลดมูลค่าบ้าง แต่โดยรวมแล้วมันยังเป็นทางเลือกสะดวกสำหรับการสะสมทรัพย์ นอกจากนี้ เงินยังเป็นเกณฑ์สำหรับการผ่อนชำระ การกู้ยืม หรือแม้แต่เงินเดือนที่รับในอนาคต
เงินมีกี่ประเภท? การจำแนกตามหลักเศรษฐศาสตร์ (傳統分類)
ตามแนวคิดเศรษฐศาสตร์แบบคลาสสิก เราสามารถแบ่งรูปแบบของเงินได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับลักษณะทางกายภาพและวิธีที่สร้างคุณค่าให้กับมัน
เงินสินค้า
เงินประเภทนี้มีคุณค่าในตัวมันเอง สามารถนำไปใช้ประโยชน์อื่นๆ นอกเหนือจากการแลกเปลี่ยนได้ ตัวอย่างในประวัติศาสตร์ เช่น ทองคำ เงินแท่ง เปลือกหอย หรือเกลือ สิ่งเหล่านี้ถูกเลือกเพราะคุณสมบัติที่เหมาะสมอย่างความหายาก ความทนทาน การแบ่งย่อยได้ และการยอมรับจากสังคม แม้จะมีข้อจำกัดเรื่องการพกพา การแบ่งแยก และความสม่ำเสมอของคุณภาพ ทำให้ไม่เหมาะกับเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในปัจจุบันเท่าไรนัก
เงินกระดาษ/เงินตรา
เงินตรา หรือที่เราคุ้นเคยในชื่อเงินกระดาษ คือเงินที่ไม่มีคุณค่าในตัว แต่ได้รับการยอมรับตามกฎหมายและอำนาจรัฐ คุณค่าของมันมาจากความเชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐบาลและธนาคารกลาง ตัวอย่างเด่นคือเงินบาทของไทย ซึ่งมีทั้งธนบัตรและเหรียญ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีหน้าที่หลักในการพิมพ์และควบคุมปริมาณ เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
เงินฝาก
เงินฝากคือเงินที่เก็บไว้ในบัญชีธนาคารพาณิชย์ สามารถใช้ชำระหนี้ผ่านการโอนเงินหรือบัตรเครดิต/เดบิตได้ มันแบ่งย่อยได้หลายแบบ เช่น
- เงินฝากกระแสรายวัน: ถอนได้ทุกเมื่อ โดยมักไม่มีหรือมีดอกเบี้ยต่ำ เหมาะกับการทำธุรกรรมบ่อยๆ
- เงินฝากออมทรัพย์: ได้รับดอกเบี้ย แต่การถอนอาจมีข้อจำกัดบ้าง
- เงินฝากประจำ: กำหนดเวลาฝากแน่นอน และให้ดอกเบี้ยสูงกว่าแบบอื่น
เงินฝากเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของปริมาณเงินในระบบ โดยแต่ละแบบมีความคล่องตัวต่างกันไป
การจำแนกประเภทของเงินตามสภาพคล่อง (ตามมุมมองธนาคารกลาง)
ธนาคารแห่งประเทศไทยและธนาคารกลางทั่วโลกมักแบ่งปริมาณเงินตามระดับสภาพคล่อง เพื่อวิเคราะห์และกำหนดนโยบายการเงิน
M0 (เงินสดหมุนเวียน)
M0 คือเงินที่มีความคล่องตัวสูงสุด รวมถึงเงินสดที่หมุนเวียนในมือประชาชนและธนาคารพาณิชย์ บวกกับเงินสำรองที่ธนาคารเหล่านั้นฝากไว้กับธนาคารกลาง มันสะท้อนฐานเงินของระบบเศรษฐกิจโดยรวม
M1 (ปริมาณเงินแคบ)
M1 ประกอบด้วย M0 พ่วงกับเงินฝากกระแสรายวันของประชาชนในธนาคาร ซึ่งใช้ชำระหนี้ได้ทันที เป็นตัวชี้วัดสภาพคล่องสูงและพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้คน
M2 (ปริมาณเงินกว้าง)
M2 ขยายจาก M1 โดยเพิ่มกึ่งเงินอย่างเงินฝากประจำ เงินฝากออมทรัพย์ และตั๋วสัญญาใช้เงินบางชนิดจากธนาคารพาณิชย์ มันให้ภาพรวมกว้างของสภาพคล่อง ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยนำไปใช้กำหนดนโยบายการเงิน
ประเภทของเงินในยุคดิจิทัล: นวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง
เทคโนโลยีดิจิทัลได้เปลี่ยนโฉมหน้ามูลค่าของเงินและวิธีการชำระเงิน สร้างรูปแบบใหม่ๆ ที่สำคัญมากในประเทศไทย โดยเฉพาะการเข้าถึงที่ง่ายขึ้นและรวดเร็ว
เงินอิเล็กทรอนิกส์
เงินอิเล็กทรอนิกส์คือมูลค่าที่บันทึกแบบดิจิทัล สามารถชำระค่าสินค้าและบริการได้โดยตรงโดยไม่ต้องใช้เงินสดหรือเช็ค มันมักอยู่ในบัตรเติมเงินหรือกระเป๋าเงินดิจิทัล ตัวอย่างยอดนิยมในไทยคือ TrueMoney Wallet, Rabbit LINE Pay และระบบ PromptPay ที่ทำให้การโอนเงินระหว่างบัญชีธนาคารสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในชีวิตประจำวัน
เงินดิจิทัล และคริปโตเคอร์เรนซี
เงินดิจิทัลคือรูปแบบที่อยู่เฉพาะในระบบอิเล็กทรอนิกส์ ไม่มีตัวตนทางกายภาพ ส่วนคริปโตเคอร์เรนซีเป็นเงินดิจิทัลที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนในการเข้ารหัสและยืนยันธุรกรรม ทำให้ปลอดภัยและโปร่งใส ตัวอย่างดังๆ คือ Bitcoin และ Ethereum ซึ่งทำงานแบบกระจายศูนย์ ไม่มีธนาคารกลางหรือรัฐบาลควบคุม แม้จะมีความเสี่ยงจากความผันผวน แต่ก็เปิดโอกาสใหม่ในการลงทุน
เงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง
เงินดิจิทัลที่ธนาคารกลางออกหรือ CBDC คือรูปแบบที่ควบคุมโดยธนาคารกลาง แตกต่างจากคริปโตที่กระจายอำนาจ มันมุ่งเสริมหรือแทนที่เงินสด ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ทดลองอย่างต่อเนื่อง เช่น Project Inthanon สำหรับภาคธุรกิจ และกำลังศึกษารูปแบบสำหรับประชาชนทั่วไป เพื่อประเมินผลกระทบต่อนโยบายการเงินและระบบชำระเงิน
โทเค็นดิจิทัล
โทเค็นดิจิทัลคือหน่วยข้อมูลบนบล็อกเชนที่ไม่ใช่เงินโดยตรง แต่แบ่งได้หลายประเภท เช่น โทเค็นเพื่อการลงทุนที่คล้ายหลักทรัพย์ หรือโทเค็นเพื่อการใช้สอยที่ให้สิทธิ์เข้าถึงบริการ ในไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ดูแลเรื่องนี้ เพื่อปกป้องนักลงทุนและรักษาความมั่นคงของตลาด โดยกำหนดกฎเกณฑ์ชัดเจน
ความแตกต่างของคำว่า ‘เงิน’ ในบริบทต่างๆ
คำว่าเงินถูกใช้ในหลายบริบท ซึ่งอาจทำให้สับสนได้ การแยกแยะความหมายเหล่านี้ช่วยให้เราสื่อสารและจัดการการเงินได้แม่นยำกว่าเดิม
เงิน กับ ทุน
ในมุมเศรษฐศาสตร์และธุรกิจ เงินคือสื่อกลางแลกเปลี่ยนและหน่วยวัดมูลค่า แต่ทุนคือทรัพยากรที่ใช้ผลิตสินค้า เช่น เครื่องจักร โรงงาน หรือเงินที่นำไปลงทุนเพื่อเพิ่มผลผลิต เงินกลายเป็นทุนได้เมื่อนำไปใช้ลงทุน เช่น เงินทุนหมุนเวียนที่ธุรกิจใช้ซื้อวัตถุดิบ จ่ายค่าจ้าง และค่าใช้จ่าย日常
เงิน กับ สินทรัพย์
เงินเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงสุดเพราะแลกเปลี่ยนได้ทันที แต่สินทรัพย์ครอบคลุมกว้างกว่า เช่น ที่ดิน หุ้น พันธบัตร หรือทองคำ ซึ่งมีมูลค่าแต่แปลงเป็นเงินช้ากว่า การลงทุนคือการเปลี่ยนเงินเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทน โดยพิจารณาความเสี่ยงและเวลา
ประโยชน์ของการเข้าใจประเภทของเงิน
การรู้จักรูปแบบเงินต่างๆ นำมาซึ่งข้อดีมากมายทั้งในระดับบุคคลและประเทศ โดยช่วยให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้น
- วางแผนการเงินส่วนตัว: เลือกเครื่องมือที่เหมาะสม ไม่ว่าจะออม ลงทุน หรือใช้จ่าย
- เข้าใจนโยบายเศรษฐกิจ: รู้เหตุผลที่ธนาคารแห่งประเทศไทยควบคุมปริมาณเงินหรือปรับดอกเบี้ย ซึ่งกระทบเศรษฐกิจโดยรวม
- ปรับตัวสู่สังคมไร้เงินสด: ใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมดิจิทัลได้อย่างปลอดภัยและเต็มประสิทธิภาพ
- ลงทุนอย่างชาญฉลาด: ประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนของเงินดิจิทัลและรูปแบบอื่นๆ ได้ดี
สรุป: เงินหลายประเภทเพื่อโลกการเงินที่ซับซ้อนขึ้น
จากเปลือกหอยในอดีตสู่เงินดิจิทัลและ CBDC ในปัจจุบัน เงินวิวัฒนาการเพื่อตอบโจทย์สังคมที่ซับซ้อน การรู้จักประเภทเงินไม่ใช่แค่ท่องจำ แต่คือการเข้าใจกลไกพื้นฐานของการเงิน
ในไทย การผสานเงินดั้งเดิม เงินฝาก และนวัตกรรมอย่าง PromptPay กับ E-Wallet สร้างระบบชำระเงินที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพ การเข้าใจบทบาทและความต่างของแต่ละประเภทช่วยให้เราบริหารการเงินส่วนตัว ธุรกิจ และภาพรวมเศรษฐกิจได้ลึกซึ้ง อนาคตการเงินยังเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง การเรียนรู้และปรับตัวจึงจำเป็นเพื่อก้าวทันอย่างมั่นใจ
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
เงินในประเทศไทยมีกี่ประเภทหลัก ๆ ที่คนทั่วไปควรรู้จัก?
ในประเทศไทย โดยทั่วไปเงินสามารถแบ่งออกได้เป็นประเภทหลัก ๆ ที่คนทั่วไปควรรู้จัก ได้แก่:
- เงินสด: ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ที่ออกโดย ธนาคารแห่งประเทศไทย
- เงินฝาก: เงินที่อยู่ในบัญชีธนาคาร เช่น เงินฝากออมทรัพย์ กระแสรายวัน และประจำ
- เงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Money): มูลค่าเงินที่บันทึกในรูปแบบดิจิทัล เช่น ในแอปพลิเคชัน E-Wallet หรือบัตรเติมเงิน (เช่น TrueMoney Wallet, Rabbit LINE Pay)
- สินทรัพย์ดิจิทัล: เช่น คริปโตเคอร์เรนซี (Bitcoin) และ โทเค็นดิจิทัล ซึ่งมีลักษณะการใช้งานและกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไป
นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มของ เงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDC) ซึ่งอาจเป็นอีกประเภทหนึ่งในอนาคต
เงินดิจิทัลเช่นคริปโตเคอร์เรนซี แตกต่างจากเงินบาทที่เราใช้กันอยู่ทุกวันอย่างไร?
คริปโตเคอร์เรนซี เช่น Bitcoin มีความแตกต่างจากเงินบาทที่เราใช้กันอยู่ทุกวันอย่างมาก:
- การกำกับดูแล: เงินบาทเป็นเงินที่ออกและกำกับดูแลโดย ธนาคารแห่งประเทศไทย และเป็นเงินตราที่ถูกกฎหมาย ส่วนคริปโตเคอร์เรนซีส่วนใหญ่ไม่มีหน่วยงานกลางกำกับดูแล (Decentralized)
- มูลค่า: มูลค่าของเงินบาทค่อนข้างมีเสถียรภาพและได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะที่มูลค่าของคริปโตเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูงมาก ขึ้นอยู่กับอุปสงค์และอุปทานในตลาด
- การใช้งาน: เงินบาทเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในทุกภาคส่วนของประเทศไทย ส่วนคริปโตเคอร์เรนซียังจำกัดอยู่ในกลุ่มผู้ใช้งานบางกลุ่ม และใช้เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนน้อยกว่า
- กฎหมาย: คริปโตเคอร์เรนซีในประเทศไทยยังไม่ถือเป็นเงินตราที่ถูกกฎหมายสำหรับชำระหนี้ แต่ถูกจัดเป็น สินทรัพย์ดิจิทัล ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.
ธนาคารแห่งประเทศไทย (BoT) มีบทบาทอย่างไรในการกำหนดและควบคุมประเภทของเงินในระบบเศรษฐกิจ?
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดและควบคุมประเภทของเงินใน ระบบเศรษฐกิจ ดังนี้:
- การออกเงินตรา: ธปท. เป็นผู้มีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวในการออก ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ (เงินสด)
- การกำหนดนโยบายการเงิน: ธปท. ใช้เครื่องมือ นโยบายการเงิน เพื่อควบคุมปริมาณเงินและสภาพคล่องในระบบ เช่น การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การดำเนินการตลาดเปิด
- การกำกับดูแลสถาบันการเงิน: ธปท. กำกับดูแลธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินอื่นๆ ซึ่งเป็นผู้สร้าง เงินฝาก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของปริมาณเงิน
- การส่งเสริมและกำกับดูแลนวัตกรรม: ธปท. มีบทบาทในการส่งเสริมการพัฒนาระบบการชำระเงินดิจิทัล เช่น PromptPay และ E-Money รวมถึงการศึกษาและทดลอง CBDC
การมีเงินหลายประเภทส่งผลต่อชีวิตประจำวันและการวางแผนการเงินส่วนบุคคลของคนไทยอย่างไร?
การมีเงินหลายประเภทส่งผลอย่างมากต่อชีวิตประจำวันและการวางแผนการเงินส่วนบุคคลของคนไทย:
- ความสะดวกสบาย: การมี E-Money และ Mobile Banking ทำให้การชำระเงินและการโอนเงินสะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
- ทางเลือกในการลงทุน: การเกิดขึ้นของ สินทรัพย์ดิจิทัล เปิดโอกาสให้มีทางเลือกในการลงทุนที่หลากหลายขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้น
- การบริหารความเสี่ยง: การทำความเข้าใจคุณสมบัติของเงินแต่ละประเภทช่วยให้เราสามารถกระจายความเสี่ยงและบริหารจัดการสินทรัพย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การปรับตัว: คนไทยต้องเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีและรูปแบบการใช้จ่ายใหม่ๆ เพื่อให้ไม่ตกยุคและสามารถใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมทางการเงินได้อย่างเต็มที่
เงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) ที่ธุรกิจใช้ ถือเป็นเงินประเภทหนึ่งตามหลักเศรษฐศาสตร์หรือไม่?
เงินทุนหมุนเวียน (Working Capital) โดยตัวมันเองไม่ใช่ “ประเภทของเงิน” ตามการจำแนกหลักเศรษฐศาสตร์แบบ M0, M1, M2 แต่เป็น “แนวคิดทางการเงิน” ที่อ้างถึงส่วนหนึ่งของ ทุน ที่ใช้ในการดำเนินงานระยะสั้นของธุรกิจ
เงินทุนหมุนเวียนจะประกอบด้วยสินทรัพย์หมุนเวียน (เช่น เงินสด ลูกหนี้การค้า สินค้าคงเหลือ) หักด้วยหนี้สินหมุนเวียน ซึ่ง “เงินสด” ที่เป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์หมุนเวียนนั้น คือ “เงิน” ตามการจำแนกประเภท (M0, M1, M2) ดังนั้น เงินทุนหมุนเวียนจึงเป็นการบริหารจัดการ “เงิน” และสินทรัพย์อื่นๆ เพื่อให้ธุรกิจมีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินงาน
อนาคตของเงินในประเทศไทยจะเป็นอย่างไร มีโอกาสที่เงินสดจะถูกแทนที่ด้วยเงินดิจิทัลทั้งหมดหรือไม่?
อนาคตของเงินในประเทศไทยมีแนวโน้มที่จะก้าวสู่สังคมไร้เงินสดมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่การที่ เงินสด จะถูกแทนที่ด้วย เงินดิจิทัล ทั้งหมดนั้นอาจยังไม่เกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ เนื่องจาก:
- ความครอบคลุม: เงินสดยังคงเป็นที่ยอมรับและเข้าถึงได้โดยทุกคน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลหรือกลุ่มประชากรที่เข้าไม่ถึงเทคโนโลยีดิจิทัล
- ความคุ้นเคยและความเชื่อมั่น: ผู้คนจำนวนมากยังคงมีความคุ้นเคยและเชื่อมั่นในการใช้เงินสด
- ความเป็นส่วนตัว: การใช้เงินสดยังคงให้ความเป็นส่วนตัวในการทำธุรกรรมมากกว่า
- โครงสร้างพื้นฐาน: การเปลี่ยนผ่านทั้งหมดต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่งและทั่วถึง
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการใช้งาน E-Money, PromptPay และการพัฒนา CBDC ของ ธนาคารแห่งประเทศไทย จะทำให้การใช้จ่ายดิจิทัลกลายเป็นกระแสหลัก และลดบทบาทของเงินสดลงอย่างมีนัยสำคัญในระยะยาว
PromptPay และ Mobile Banking ถือเป็น “เงิน” หรือเป็นเพียง “ช่องทางการชำระเงิน” กันแน่?
PromptPay และ Mobile Banking (บริการธนาคารบนมือถือ) ไม่ได้ถือเป็น “เงิน” โดยตรง แต่เป็น “ช่องทางการชำระเงิน” ที่อำนวยความสะดวกในการใช้ “เงิน” ที่อยู่ในรูปแบบของ เงินฝาก ในบัญชีธนาคารของคุณ
- PromptPay: เป็นระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมโยงบัญชีธนาคารเข้าด้วยกัน ทำให้การโอนและรับเงินระหว่างธนาคารเป็นไปได้ง่ายขึ้น โดยใช้หมายเลขโทรศัพท์หรือเลขบัตรประชาชนแทนเลขที่บัญชี
- Mobile Banking: เป็นแอปพลิเคชันที่ช่วยให้คุณเข้าถึงและจัดการบัญชีธนาคาร ทำธุรกรรมทางการเงิน เช่น โอนเงิน ชำระบิล ตรวจสอบยอดเงิน ได้จากโทรศัพท์มือถือ
ดังนั้น เงินที่ใช้ในการทำธุรกรรมผ่าน PromptPay หรือ Mobile Banking คือเงินฝากในบัญชีธนาคารของคุณนั่นเอง ไม่ใช่ PromptPay หรือ Mobile Banking ที่เป็นตัวเงิน
ถ้ามีคนบอกว่า “เงินมี 4 ประเภท” หรือ “แบ่ง 3 ประเภท” เขาหมายถึงอะไร?
การที่คนบอกว่า “เงินมี 4 ประเภท” หรือ “แบ่ง 3 ประเภท” มักจะหมายถึงการจำแนกประเภทเงินตามมุมมองหรือเกณฑ์ที่แตกต่างกันไป ซึ่งเป็นเรื่องปกติเพราะไม่มีการจำแนกแบบเดียวที่ใช้ได้กับทุกบริบท
- “เงินมี 3 ประเภท” มักจะหมายถึงการจำแนกตามหน้าที่หลักของเงิน (สื่อกลางการแลกเปลี่ยน, หน่วยวัดมูลค่า, เก็บรักษา มูลค่า) หรือการจำแนกแบบดั้งเดิม (เงินสินค้า, เงินตรา, เงินฝาก)
- “เงินมี 4 ประเภท” อาจเป็นการรวมประเภทที่แตกต่างกันเพิ่มเติม เช่น เงินสินค้า เงินตรา เงินฝาก และ E-Money/เงินดิจิทัล หรืออาจเป็นการจำแนกตามสภาพคล่องในรูปแบบที่แตกต่างกันไป
สิ่งสำคัญคือต้องทำความเข้าใจว่าการจำแนกนั้นอ้างอิงจากเกณฑ์ใด เพื่อให้สามารถสื่อสารและทำความเข้าใจได้อย่างถูกต้อง
สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) เช่น หุ้นดิจิทัล แตกต่างจากเงินดิจิทัลอย่างไรในบริบทของ ก.ล.ต. ไทย?
ในบริบทของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของไทย มีการจำแนกความแตกต่างระหว่าง สินทรัพย์ดิจิทัล และ เงินดิจิทัล อย่างชัดเจน:
- เงินดิจิทัล: ในทางปฏิบัติของ ก.ล.ต. คำว่า “เงินดิจิทัล” มักจะหมายถึง คริปโตเคอร์เรนซี ที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนอย่างแพร่หลาย หรือมีคุณสมบัติคล้ายเงินตราที่ออกโดยธนาคารกลาง
- สินทรัพย์ดิจิทัล: เป็นคำที่ครอบคลุมกว้างกว่า โดย ก.ล.ต. ได้แบ่งสินทรัพย์ดิจิทัลหลักๆ ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ:
- คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency): สินทรัพย์ดิจิทัล ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ
- โทเค็นดิจิทัล (Digital Token): แบ่งเป็นโทเค็นเพื่อการลงทุน (Investment Token) ที่มีลักษณะคล้ายหลักทรัพย์ (เช่น หุ้นดิจิทัล) และโทเค็นเพื่อการใช้ประโยชน์ (Utility Token) ซึ่งให้สิทธิในการได้มาซึ่งสินค้าหรือบริการ
ดังนั้น หุ้นดิจิทัลจึงจัดอยู่ในประเภทโทเค็นเพื่อการลงทุน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ดิจิทัล ไม่ใช่เงินดิจิทัลที่เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน
ควรเลือกใช้เงินประเภทไหนในการทำธุรกรรมทางการเงินหรือการลงทุนในประเทศไทย เพื่อความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด?
การเลือกใช้เงินประเภทไหนในการทำธุรกรรมหรือ การลงทุน ในประเทศไทย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และความคุ้นเคยของคุณ:
- สำหรับการทำธุรกรรมประจำวัน:
- เงินสด: ยังคงจำเป็นสำหรับร้านค้าขนาดเล็ก หรือกรณีที่ระบบดิจิทัลมีปัญหา
- เงินฝาก (ผ่าน Mobile Banking/PromptPay): สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยสำหรับธุรกรรมส่วนใหญ่
- E-Money (E-Wallet): เหมาะสำหรับการชำระค่าสินค้าและบริการในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะร้านค้าที่มี QR Code
- สำหรับการลงทุน:
- เงินฝากประจำ/พันธบัตรรัฐบาล: เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความปลอดภัยสูงและผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ
- หุ้น/กองทุนรวม: มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงขึ้น แต่มีความเสี่ยงสูงขึ้นตามไปด้วย
- สินทรัพย์ดิจิทัล (เช่น หุ้นดิจิทัล, คริปโตเคอร์เรนซี): มีความผันผวนสูงมาก เหมาะสำหรับผู้ที่รับความเสี่ยงได้สูงและศึกษาข้อมูลมาอย่างดีแล้ว ควรลงทุนผ่านผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. เท่านั้น
สิ่งสำคัญคือต้องศึกษาข้อมูลให้รอบด้าน ประเมินความเสี่ยง และเลือกใช้ประเภทเงินที่เหมาะสมกับความต้องการและสถานการณ์ส่วนบุคคลของคุณเสมอ
發佈留言
很抱歉,必須登入網站才能發佈留言。