ทำความเข้าใจเกี่ยวกับปริมาณเงินในเศรษฐกิจไทย: M0, M1, M2, M3 และความสำคัญ

ปริมาณเงิน (Money Supply) คืออะไร? ความหมายที่แท้จริงในระบบเศรษฐกิจ

ปริมาณเงิน หรือที่เรียกว่า Money Supply เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนถึงเงินทั้งหมดที่มีอยู่ในระบบเศรษฐกิจของประเทศ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งไม่ได้จำกัดเพียงแค่ธนบัตรและเหรียญที่อยู่ในกระเป๋าของประชาชนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ ที่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ง่าย เช่น เงินฝากในบัญชีธนาคารต่าง ๆ ซึ่งสามารถใช้ชำระหนี้หรือซื้อสินค้าได้ทันที หรือภายในระยะเวลาอันสั้น

การติดตามและประเมินปริมาณเงินจึงถือเป็นหัวใจหลักของนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เพราะมันมีผลลึกซึ้งต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจโดยรวม ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มของอัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย การจ้างงาน และการขยายตัวของเศรษฐกิจ ธนาคารกลางของแต่ละประเทศ รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงมีหน้าที่หลักในการควบคุมระดับของปริมาณเงินอย่างระมัดระวัง เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยไม่เกิดภาวะเงินเฟ้อรุนแรงหรือการชะลอตัวอย่างเฉียบพลัน

ภาพประกอบแนวคิดปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ

หน้าที่และลักษณะของเงินที่ดี: ทำไมเราจึงเชื่อมั่นในเงินตรา?

ก่อนจะเจาะลึกถึงการวัดและการควบคุมปริมาณเงิน สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจก่อนว่า “เงิน” ในระบบเศรษฐกิจทำหน้าที่อะไรบ้าง และมีคุณสมบัติอย่างไรที่ทำให้สังคมทั้งระบบยอมรับใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ความเข้าใจในพื้นฐานเหล่านี้จะช่วยให้เห็นภาพชัดเจนว่าทำไมปริมาณเงินถึงมีผลต่อพฤติกรรมทางเศรษฐกิจของทั้งประชาชน ภาคธุรกิจ และรัฐบาล

โดยทั่วไป เงินทำหน้าที่หลักได้ 3 ประการ ได้แก่

  • สื่อกลางในการแลกเปลี่ยน: เงินทำให้การซื้อขายเป็นไปอย่างคล่องตัว ช่วยหลีกเลี่ยงข้อจำกัดของระบบแลกเปลี่ยนสินค้าโดยตรง (Barter System) ที่ต้องอาศัยการ “ต้องการพอดี” กันทั้งสองฝ่าย เช่น การแลกไข่กับข้าว ซึ่งในยุคปัจจุบันแทบเป็นไปไม่ได้
  • หน่วยวัดมูลค่า: เงินทำหน้าที่เป็นมาตราฐานในการกำหนดราคาสินค้าและบริการ ทำให้สามารถเปรียบเทียบมูลค่าระหว่างสินค้าได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นรถมอเตอร์ไซค์ หรือบริการตัดผม ก็สามารถแปลงเป็นจำนวนหน่วยเงินได้ชัดเจน
  • เครื่องรักษามูลค่า: แม้มูลค่าของเงินจะลดลงเมื่อเผชิญกับเงินเฟ้อ แต่เมื่อเทียบกับสินค้าอื่นที่เน่าเสียได้ง่าย เช่น ผัก หรือผลไม้ เงินยังคงถือว่าเป็นตัวกลางที่เก็บมูลค่าได้นานกว่า และสามารถนำไปใช้ในอนาคตได้

นอกจากนี้ เงินที่ดีควรมีคุณสมบัติครบ 6 ด้าน ได้แก่ ความนิยมยอมรับ (Acceptability) ความทนทาน (Durability) การพกพาสะดวก (Portability) ความเหมือนกันของหน่วย (Uniformity) ความสามารถในการแบ่งย่อย (Divisibility) และการมีจำนวนจำกัด (Limited Supply) เพื่อป้องกันการพิมพ์เงินมากเกินไปจนทำให้มูลค่าลดฮวบ

ภาพประกอบธนบัตรและเหรียญไทยที่ใช้ในระบบเศรษฐกิจ

การวัดปริมาณเงินในประเทศไทย: รู้จัก M0, M1, M2 และ M3

เนื่องจากความหมายของ “เงิน” ในยุคปัจจุบันมีความซับซ้อนกว่าแค่ธนบัตรในมือ นักเศรษฐศาสตร์จึงจำแนกปริมาณเงินออกเป็นหลายระดับตามสภาพคล่อง หรือความสามารถในการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้เร็วเพียงใด โดยในประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ใช้ระบบจำแนกตามมาตรฐานสากล แบ่งออกเป็น M0, M1, M2 และ M3 โดยแต่ละระดับจะกว้างขึ้นเรื่อย ๆ และครอบคลุมสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องลดลงตามลำดับ

M0 (Monetary Base) หรือ ฐานเงิน

M0 ถือเป็นจุดเริ่มต้นของปริมาณเงินในระบบ หรือที่เรียกว่า “ฐานเงิน” ซึ่งประกอบด้วยธนบัตรและเหรียญที่หมุนเวียนอยู่ในมือของประชาชนและภาคธุรกิจ รวมกับเงินสดสำรองที่ธนาคารพาณิชย์เก็บไว้กับธนาคารแห่งประเทศไทย การควบคุม M0 เป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักที่ธนาคารกลางใช้ในการส่งสัญญาณนโยบายการเงิน เพราะมันคือต้นกำเนิดของการสร้างเงินฝากในระบบเศรษฐกิจ

M1 (ปริมาณเงินในความหมายแคบ)

M1 เป็นมาตรวัดที่เน้นเงินสดและสินทรัพย์ที่สามารถใช้จ่ายได้ทันที โดยรวมธนบัตรและเหรียญที่อยู่ในระบบ (ไม่รวมเงินสำรองของธนาคาร) บวกกับเงินฝากกระแสรายวันที่สามารถถอนออกมาผ่านบัตรเดบิต หรือเช็คได้ตลอดเวลา สินทรัพย์ใน M1 จึงสะท้อนถึง “เงินที่พร้อมใช้” และมักใช้ดูแนวโน้มการใช้จ่ายในระยะสั้นของประชาชนและภาคธุรกิจ

M2 (ปริมาณเงินในความหมายกว้าง)

M2 เป็นตัวชี้วัดที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการวิเคราะห์เศรษฐกิจ เพราะครอบคลุมเงินส่วนใหญ่ที่อยู่ในระบบการเงิน โดยคำนวณจาก M1 บวกกับเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำของภาคเอกชนและธุรกิจที่อยู่ในธนาคารพาณิชย์ แม้เงินฝากเหล่านี้จะไม่สามารถใช้จ่ายได้ทันทีเหมือนเงินสด แต่ก็สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ง่าย ภายในไม่กี่นาทีผ่านตู้ ATM หรือการโอนเงิน ทำให้ M2 ถูกใช้เป็นเกณฑ์หลักในการประเมินสภาพคล่องและแนวโน้มเศรษฐกิจ

M3 (ปริมาณเงินในความหมายกว้างที่สุด)

M3 เป็นระดับที่ครอบคลุมที่สุด โดยเพิ่มเติมจาก M2 ด้วยเงินฝากในสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ เช่น บริษัทเงินทุน บริษัทลิสซิ่ง รวมถึงตราสารหนี้ระยะสั้นอย่างตั๋วสัญญาใช้เงิน (Commercial Paper) ที่มีสภาพคล่องปานกลาง แม้ในปัจจุบัน M3 จะไม่ถูกใช้บ่อยเท่า M2 เนื่องจากมีความซับซ้อนและไม่สะท้อนการใช้จ่ายโดยตรง แต่ก็ยังให้มุมมองที่ครบถ้วนเกี่ยวกับสินทรัพย์ทางการเงินทั้งหมดในระบบ

เพื่อให้เข้าใจความแตกต่างระหว่างแต่ละระดับได้ชัดเจน ด้านล่างนี้คือตารางสรุปองค์ประกอบและระดับสภาพคล่องของ M1 ถึง M3

ปริมาณเงิน องค์ประกอบ ระดับสภาพคล่อง
M1 ธนบัตรและเหรียญในมือประชาชน + เงินฝากกระแสรายวัน สูงสุด
M2 M1 + เงินฝากออมทรัพย์ + เงินฝากประจำ สูง
M3 M2 + ตั๋วสัญญาใช้เงินและเงินฝากจากสถาบันการเงินอื่น ปานกลาง

ปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ?

ปริมาณเงินในระบบไม่ได้ถูกกำหนดโดยปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลจากปฏิสัมพันธ์ของสามภาคส่วนหลัก ได้แก่ ธนาคารกลาง ธนาคารพาณิชย์ และพฤติกรรมของประชาชนและภาคธุรกิจ

  1. ธนาคารกลาง (ธนาคารแห่งประเทศไทย): ธปท. มีบทบาทควบคุมโดยตรงผ่านเครื่องมือ นโยบายการเงิน หลัก 3 อย่าง ได้แก่ การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย การดำเนินการในตลาดเปิด (เช่น การซื้อขายพันธบัตรรัฐบาล) และการกำหนดอัตราเงินสดสำรองขั้นต่ำ (Reserve Requirement Ratio) ซึ่งแต่ละเครื่องมือล้วนส่งผลต่อปริมาณเงินที่สามารถหมุนเวียนได้ในระบบ
  2. ธนาคารพาณิชย์: ธนาคารไม่ใช่เพียงตัวกลางรับฝากเงิน แต่ยังเป็น “ผู้สร้างเงิน” ผ่านกระบวนการปล่อยสินเชื่อ เมื่อลูกค้าฝากเงิน ธนาคารจะกันส่วนหนึ่งไว้เป็นสำรอง แล้วนำส่วนที่เหลือไปปล่อยกู้ เมื่อผู้กู้นำเงินไปใช้จ่ายและผู้รับเงินนำเงินนั้นไปฝากอีกครั้ง เงินก็จะถูกทวีคูณในระบบ กระบวนการนี้เรียกว่า “การทวีคูณของเงิน” (Money Multiplier) ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ปริมาณเงินในระบบมากกว่าจำนวนเงินที่พิมพ์ขึ้นจริง
  3. ภาคประชาชนและธุรกิจ: พฤติกรรมการถือเงินของผู้คนก็มีผลเช่นกัน หากประชาชนเลือกเก็บเงินสดไว้ที่บ้านแทนการฝากธนาคาร ธนาคารก็จะมีเงินให้กู้น้อยลง ส่งผลให้การขยายตัวของเงินในระบบช้าลง ในทางกลับกัน หากคนนิยมฝากเงินและใช้บัตรเดบิตมากขึ้น ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการหมุนเวียนของเงิน

ความสำคัญของปริมาณเงิน: ทำไมรัฐบาลและนักลงทุนต้องจับตา?

การติดตามแนวโน้มของปริมาณเงินไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่เป็นกุญแจสำคัญในการคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจในอนาคต เพราะมันเชื่อมโยงโดยตรงกับตัวแปรเศรษฐกิจหลักหลายตัว ทั้งในมิติของเสถียรภาพและการเติบโต

  • อัตราเงินเฟ้อ: ตามทฤษฎีปริมาณเงิน (Quantity Theory of Money) หากปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้นเร็วกว่าการเติบโตของผลผลิตทางเศรษฐกิจ ก็จะเกิดภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากมี “เงินมากเกินไปไล่ซื้อสินค้าที่มีอยู่จำกัด” ธนาคารกลางจึงต้องระวังไม่ให้การขยายตัวของเงินเร่งตัวเกินไป
  • อัตราดอกเบี้ย: ปริมาณเงินมีผลต่ออัตราดอกเบี้ยในตลาด เมื่อมีเงินหมุนเวียนมาก อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่หากธนาคารกลางต้องการควบคุมเงินเฟ้อ อาจลดปริมาณเงิน ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น
  • การเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP): ปริมาณเงินที่เหมาะสมจะช่วยกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของ GDP อย่างไรก็ตาม หากขาดดุลหรือล้นเกินเกินไป ก็อาจนำไปสู่ความผันผวน ดังที่ปรากฏใน รายงานเศรษฐกิจจาก สศช. ที่มักวิเคราะห์ปัจจัยทางการเงินควบคู่กับการเติบโตของภาคการผลิตและการบริการ

สำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะผู้ที่ติดตามตลาด Moneta Markets ซึ่งเป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ที่ให้บริการซื้อขายตราสารการเงินในระดับสากล การเข้าใจปริมาณเงินจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะข้อมูลนี้ช่วยคาดการณ์ทิศทางของอัตราแลกเปลี่ยน ตลาดหุ้น และสินทรัพย์เสี่ยงต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

ภาพประกอบดัชนีชี้วัดเสถียรภาพทางการเงินและนโยบายธนาคารกลาง

วิธีตรวจสอบข้อมูลปริมาณเงินของไทยล่าสุด (อัปเดต 2024)

ข้อมูลปริมาณเงินในประเทศไทยมีการเผยแพร่เป็นประจำทุกเดือน ทำให้ผู้สนใจทั้งนักลงทุน นักศึกษา และนักวิเคราะห์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยได้โดยไม่ยาก แหล่งข้อมูลหลักคือธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งมีการจัดทำฐานข้อมูลเศรษฐกิจและการเงินอย่างเป็นระบบ

หากต้องการตรวจสอบข้อมูลล่าสุด ทำตามขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้:

  1. เข้าเว็บไซต์ www.bot.or.th และไปที่ส่วน “ฐานข้อมูลเศรษฐกิจและการเงิน”
  2. เลือกหัวข้อ “สถิติเศรษฐกิจการเงิน” แล้วค้นหาเมนู “ปริมาณเงินและสภาพคล่อง”
  3. ท่านจะพบข้อมูลปริมาณเงินในรูปแบบ M1, M2 และ M3 พร้อมกราฟแนวโน้มย้อนหลัง และสามารถดาวน์โหลดเป็นไฟล์ Excel หรือ PDF เพื่อวิเคราะห์เพิ่มเติมได้

เพื่อความสะดวก แนะนำให้เข้าตรงที่ ลิงก์สถิติปริมาณเงิน M2 ซึ่งเป็นข้อมูลที่ใช้กันทั่วไปในการวิเคราะห์เศรษฐกิจ และมักถูกอ้างอิงในรายงานของ Moneta Markets และสถาบันวิจัยชั้นนำต่าง ๆ

สรุป: ปริมาณเงินกับอนาคตเศรษฐกิจไทย

ปริมาณเงินไม่ใช่เพียงตัวเลขสถิติที่ดูซับซ้อน แต่เปรียบเสมือน “ชีพจรของเศรษฐกิจ” ที่บอกเราว่าระบบการเงินกำลังแข็งแรง หรือมีสัญญาณอ่อนแออยู่ การเข้าใจโครงสร้างของ M1, M2, M3 และปัจจัยที่มีผลต่อการขยายหรือหดตัวของเงิน จึงช่วยให้เราเข้าใจนโยบายการเงินของธนาคารกลางได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนที่ติดตามตลาดอย่างใกล้ชิด นักศึกษาเศรษฐศาสตร์ หรือประชาชนทั่วไปที่สงสัยว่าทำไมดอกเบี้ยเงินกู้จึงผันผวน การติดตามข้อมูลปริมาณเงินอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณอ่านเกมเศรษฐกิจได้แม่นยำขึ้น และตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลสนับสนุน ยิ่งในยุคที่ข้อมูลทางการเงินมีผลต่อทุกภาคส่วน การมีความรู้พื้นฐานเรื่องนี้จึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นความจำเป็น

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ปริมาณเงิน M2 คืออะไร และทำไมจึงเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุด?

ปริมาณเงิน M2 คือ ปริมาณเงินในความหมายกว้าง ซึ่งประกอบด้วยธนบัตรและเหรียญในมือประชาชน (M1) รวมกับเงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำ M2 มีความสำคัญที่สุดเพราะครอบคลุมเงินฝากส่วนใหญ่ในระบบธนาคารพาณิชย์ ซึ่งสะท้อนกำลังซื้อที่แท้จริงและสภาพคล่องโดยรวมของเศรษฐกิจได้ดีกว่า M1 ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงใช้ M2 เป็นตัวชี้วัดหลักในการวิเคราะห์และดำเนินนโยบายการเงิน

ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นหรือลดลง ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างไร?

ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นมักจะกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น เพราะทำให้มีเงินหมุนเวียนมากขึ้น ส่งผลให้ดอกเบี้ยลดลง เกิดการลงทุนและการบริโภคเพิ่มขึ้น แต่อาจนำไปสู่ปัญหาเงินเฟ้อในระยะยาวได้ ในทางกลับกัน ปริมาณเงินที่ลดลงจะช่วยชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจและควบคุมเงินเฟ้อ แต่ก็อาจทำให้เศรษฐกิจเติบโตช้าลงหรือหดตัวได้เช่นกัน

ประชาชนทั่วไปสามารถตรวจสอบข้อมูลปริมาณเงินรายไตรมาสของประเทศไทยได้จากที่ไหน?

สามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (www.bot.or.th) ในส่วนของ “สถิติเศรษฐกิจการเงิน” ซึ่งมีการเผยแพร่ข้อมูลปริมาณเงินเป็นรายเดือนและรายไตรมาส ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าไปดูและดาวน์โหลดข้อมูลได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

ธนาคารแห่งประเทศไทยมีเครื่องมืออะไรบ้างในการควบคุมปริมาณเงินในระบบ?

เครื่องมือหลักของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้แก่:

  • อัตราดอกเบี้ยนโยบาย: การปรับขึ้น-ลงเพื่อส่งสัญญาณไปยังอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์
  • การดำรงสินทรัพย์สภาพคล่อง: การกำหนดอัตราส่วนเงินสดสำรองที่ธนาคารพาณิชย์ต้องถือไว้
  • การทำธุรกรรมในตลาดเปิด (Open Market Operations): การซื้อหรือขายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อเพิ่มหรือลดปริมาณเงินในระบบ

ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณเงินและอัตราเงินเฟ้อเป็นอย่างไร?

ตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ หากปริมาณเงินเติบโตในอัตราที่สูงกว่าการขยายตัวของผลผลิตของประเทศอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ระดับราคาสินค้าและบริการโดยรวมสูงขึ้น หรือที่เรียกว่า “เงินเฟ้อ” เพราะมีปริมาณเงินจำนวนมากไปไล่ซื้อสินค้าที่มีจำนวนจำกัด อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นความสัมพันธ์นี้อาจไม่ตรงไปตรงมาเสมอไปและขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ด้วย

เงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำถูกนับรวมอยู่ในปริมาณเงินประเภทใด?

เงินฝากออมทรัพย์และเงินฝากประจำถูกนับรวมอยู่ในปริมาณเงิน M2 (ปริมาณเงินในความหมายกว้าง) และ M3 (ปริมาณเงินในความหมายกว้างที่สุด) แต่จะไม่ถูกนับรวมใน M1 ซึ่งนับเฉพาะเงินฝากกระแสรายวันที่มีสภาพคล่องสูงสุดเท่านั้น

เหตุใดการทำความเข้าใจเรื่องปริมาณเงินจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักลงทุน?

สำหรับนักลงทุน ปริมาณเงินเป็นสัญญาณบ่งชี้ทิศทางของอัตราดอกเบี้ยและภาวะเศรษฐกิจในอนาคต ปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นอาจนำไปสู่ดอกเบี้ยที่ต่ำลงและตลาดหุ้นที่คึกคัก แต่ก็เสี่ยงต่อเงินเฟ้อ ในขณะที่ปริมาณเงินที่ลดลงอาจหมายถึงดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและเศรษฐกิจที่ชะลอตัว การเข้าใจแนวโน้มเหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น หุ้น ตราสารหนี้ หรืออสังหาริมทรัพย์ได้อย่างเหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่ติดตาม Moneta Markets ซึ่งเน้นการซื้อขายในตลาดที่ตอบสนองต่อสัญญาณเศรษฐกิจมหภาคอย่างรวดเร็ว

ลักษณะของเงินที่ดี 6 ข้อตามหลักเศรษฐศาสตร์มีอะไรบ้าง?

ลักษณะของเงินที่ดี 6 ข้อ ได้แก่ 1. เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป (Acceptability) 2. มีความคงทน ไม่ฉีกขาดหรือเสื่อมสลายง่าย (Durability) 3. สามารถพกพาได้สะดวก (Portability) 4. มีลักษณะเป็นมาตรฐานเดียวกัน (Uniformity) 5. สามารถแบ่งเป็นหน่วยย่อยได้ (Divisibility) และ 6. มีปริมาณจำกัดและควบคุมได้ (Limited Supply)

Author photo

發佈留言