รู้จัก OTC: ความหมายและการซื้อขายในตลาดการเงินที่ไม่ควรมองข้าม

OTC คืออะไร? เข้าใจความหมายลึกซึ้งในโลกการเงินที่คุณอาจยังไม่รู้

คำว่า OTC หรือที่หลายคนเคยได้ยินในแวดวงการเงินและตลาดทุน แท้จริงแล้วคือคำย่อของ Over-the-Counter ซึ่งถ้าแปลตรงตัวอาจหมายถึง “ข้ามเคาน์เตอร์” แต่ในบริบทของตลาดการเงิน คำนี้กลับมีความหมายเฉพาะเจาะจงมากกว่านั้น นั่นคือ การซื้อขายสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์อย่างเป็นทางการ เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หรือตลาดหุ้นต่างประเทศอย่าง NYSE หรือ NASDAQ

สิ่งที่ทำให้การซื้อขายแบบ OTC แตกต่างอย่างชัดเจนก็คือ ไม่มีระบบกลางหรือกระดานซื้อขายที่ควบคุมราคาหรือจับคู่คำสั่งซื้อขาย ทุกอย่างเกิดขึ้นผ่านเครือข่ายของผู้ค้าหรือดีลเลอร์โดยตรง ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายสามารถเจรจาต่อรองในด้านราคา จำนวน ระยะเวลา และเงื่อนไขพิเศษของสัญญาได้อย่างอิสระ ทำให้รูปแบบนี้เหมาะกับสินทรัพย์ที่ซับซ้อนหรือต้องการความยืดหยุ่นสูง

illustration of OTC trading concept

กลไกการซื้อขาย OTC ทำงานอย่างไร?

ต่างจากภาพจำของการซื้อขายหุ้นที่นักลงทุนรายย่อยคุ้นเคย เช่น การกดซื้อผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ซึ่งระบบจะจับคู่ราคาอัตโนมัติ การซื้อขายในตลาด OTC ไม่มีศูนย์กลางกลางในการดำเนินการ แต่อาศัยการติดต่อสื่อสารโดยตรงระหว่างคู่สัญญา หรือผ่านตัวกลางอย่างโบรกเกอร์-ดีลเลอร์ที่ทำหน้าที่ประสานและเสนอราคา

  • การติดต่อโดยตรง: นักลงทุนสถาบันหรือบริษัทขนาดใหญ่มักเจรจาต่อกันเอง หรือใช้บริการดีลเลอร์เพื่อหาคู่สัญญาและเสนอเงื่อนไขที่ต้องการ
  • การตกลงราคาแบบปิด: ราคาไม่ได้เกิดจากกลไกตลาดแบบเรียลไทม์ แต่มาจากการต่อรองระหว่างสองฝ่าย ซึ่งอาจอ้างอิงจากข้อมูลตลาดล่าสุด แต่ก็อาจปรับแต่งได้ตามความเหมาะสม
  • เครือข่ายดีลเลอร์ทั่วโลก: ตลาด OTC ไม่มีสถานที่ตั้งถาวร เป็นเพียงโครงข่ายเชื่อมต่อของสถาบันการเงินที่แสดงราคาเสนอซื้อ (Bid) และเสนอขาย (Ask) สำหรับสินทรัพย์ต่าง ๆ เช่น พันธบัตร หรือสัญญาอนุพันธ์

หากจะเปรียบเทียบให้เข้าใจง่าย การซื้อขายในตลาดหุ้นเหมือนการช้อปปิ้งออนไลน์ที่มีราคาแสดงชัดเจน จ่ายปุ๊บได้ของปั๊บ แต่ OTC กลับเหมือนการเจรจาซื้อขายรถยนต์มือสองหรืองานศิลปะหายาก โดยต้องพูดคุยกันหลายรอบ ตรวจสอบสภาพ และตกลงรายละเอียดก่อนจะปิดดีล

สินทรัพย์ใดบ้างที่นิยมซื้อขายในตลาด OTC?

ตลาด OTC ไม่ได้จำกัดอยู่แค่หุ้นเพียงอย่างเดียว แต่ครอบคลุมสินทรัพย์หลากหลายประเภท โดยเฉพาะสินทรัพย์ที่ไม่สามารถซื้อขายในตลาดรวมได้เนื่องจากขาดมาตรฐานหรือมีเงื่อนไขเฉพาะตัว

หุ้นนอกตลาด (Unlisted Stocks)

เป็นหุ้นของบริษัทที่ยังไม่ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือบริษัทที่ถูกระงับการซื้อขายไปแล้ว เช่น บริษัทขนาดเล็ก หรือสตาร์ทอัพในช่วงเริ่มต้น ซึ่งยังไม่มีข้อมูลทางการเงินเพียงพอหรือยังไม่ผ่านเกณฑ์การจดทะเบียน การซื้อขายหุ้นประเภทนี้จึงต้องอาศัยช่องทาง OTC ผ่านเครือข่ายของนักลงทุน ซึ่งมักมีสภาพคล่องต่ำและข้อมูลเปิดเผยจำกัด

ตราสารหนี้ (Bonds)

นี่คือหนึ่งในสินทรัพย์ที่มีการซื้อขายในตลาด OTC มากที่สุด โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชน ที่มีลักษณะเฉพาะตัว เช่น อัตราดอกเบี้ยคงที่ อายุครบกำหนดที่แตกต่างกัน หรืออันดับความน่าเชื่อถือ (Credit Rating) ที่หลากหลาย ทำให้การซื้อขายผ่านระบบกลางแบบมาตรฐานไม่เหมาะสม ตามรายงานจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดตราสารหนี้ในไทยส่วนใหญ่ดำเนินการในรูปแบบ Over-the-Counter ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของตลาด OTC ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives)

สัญญาอนุพันธ์ที่ไม่ได้เป็นมาตรฐาน เช่น สัญญาแลกเปลี่ยนดอกเบี้ย (Interest Rate Swap) สัญญา Forward หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ออกแบบมาเฉพาะ ล้วนถูกสร้างและซื้อขายกันในตลาด OTC เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการในการบริหารความเสี่ยงของนักลงทุนสถาบันได้อย่างแม่นยำ เช่น การป้องกันความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน หรือการควบคุมต้นทุนทางการเงิน

depiction of financial assets being traded

เปรียบเทียบชัดเจน: ตลาด OTC ต่างจากตลาดหลักทรัพย์อย่างไร?

การเข้าใจความแตกต่างระหว่างตลาด OTC และตลาดหลักทรัพย์ (Exchange) เป็นกุญแจสำคัญในการเลือกช่องทางการลงทุนที่เหมาะสม โดยสามารถสรุปเปรียบเทียบได้ดังนี้:

ประเด็น ตลาด OTC ตลาดหลักทรัพย์ (Exchange)
สถานที่ซื้อขาย ไม่มีศูนย์กลาง เป็นเครือข่ายของดีลเลอร์ มีศูนย์กลางการซื้อขายที่ชัดเจน (เช่น SET)
กฎระเบียบ มีความยืดหยุ่นสูง กำกับดูแลน้อยกว่า มีกฎระเบียบที่เข้มงวดและเป็นมาตรฐาน
ความโปร่งใสของราคา น้อยกว่า ราคาเป็นที่รับรู้ในวงจำกัด สูงมาก ราคาซื้อขายถูกเผยแพร่แบบเรียลไทม์
ประเภทของสินทรัพย์ หลากหลาย ไม่เป็นมาตรฐาน เช่น หุ้นนอกตลาด ตราสารหนี้ สินทรัพย์ที่เป็นมาตรฐาน เช่น หุ้นใน SET50, SET100
ความเสี่ยงด้านคู่สัญญา มีสูง เนื่องจากเป็นการตกลงกันเอง น้อยมาก เพราะมีสำนักหักบัญชีเป็นตัวกลาง
graphic showing the difference between OTC and exchange

ข้อดีและข้อเสียของตลาด OTC ที่นักลงทุนควรรู้

แม้ตลาด OTC จะให้โอกาสในการเข้าถึงสินทรัพย์ที่หลากหลาย แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่มีประสบการณ์หรือข้อมูลครบถ้วน

ข้อดีของตลาด OTC

  • ความยืดหยุ่นสูง: นักลงทุนสามารถเจรจาและออกแบบสัญญาให้เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะ เช่น การตั้งอัตราดอกเบี้ยคงที่ในสัญญาอนุพันธ์ หรือการกำหนดวันครบกำหนดที่ไม่เหมือนใคร
  • เข้าถึงสินทรัพย์เฉพาะกลุ่ม: นักลงทุนสามารถลงทุนในหุ้นของบริษัทสตาร์ทอัพ หรือตราสารหนี้ที่มีเงื่อนไขพิเศษ ซึ่งไม่มีในตลาดหลักทรัพย์
  • เหมาะกับการซื้อขายขนาดใหญ่: สถาบันการเงินที่ต้องการซื้อขายในปริมาณมาก (Block Trade) มักเลือกตลาด OTC เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบต่อราคาในตลาดหลัก ซึ่งอาจทำให้เกิดผลเสียต่อพอร์ตการลงทุน

ข้อเสียและความเสี่ยงของตลาด OTC

  • ความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระ (Counterparty Risk): เนื่องจากไม่มีสำนักหักบัญชีกลางค้ำประกัน หากคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงได้ นักลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด ซึ่งเป็นความเสี่ยงหลักที่สุดของตลาดนี้
  • สภาพคล่องต่ำ: สินทรัพย์บางประเภทในตลาด OTC อาจหาผู้ซื้อหรือผู้ขายได้ยาก ทำให้การแปลงเป็นเงินสดใช้เวลานาน หรือต้องยอมขายในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
  • ขาดความโปร่งใส: ราคาซื้อขายไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ทำให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงข้อมูลได้จำกัด และอาจเสียเปรียบในการต่อรอง

OTC ในความหมายอื่นที่คุณอาจเคยได้ยิน

คำว่า “OTC” ไม่ได้มีความหมายเดียวในทุกบริบท โดยเฉพาะในวงการแพทย์ ที่คำนี้กลับมีความหมายที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

OTC ในวงการยา (OTC Drugs)

ในด้านสุขภาพและเภสัชกรรม OTC หมายถึง ยาที่ซื้อได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์ ซึ่งได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุขว่ามีความปลอดภัยสูงพอที่ผู้บริโภคสามารถใช้ได้เอง เช่น ยาแก้ปวด ยาแก้ไอ หรือยาน้ำยาบ้วนปาก ดังนั้นเมื่อได้ยินคำว่า “ยา OTC” หรือ “OTC product” ในร้านขายยา จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับตลาดการเงิน

การซื้อขายในตลาด OTC เหมาะกับนักลงทุนประเภทใด?

ตลาด OTC เหมาะสมกับนักลงทุนสถาบันเป็นหลัก เช่น ธนาคาร, บริษัทประกัน, กองทุนรวม, และ Hedge Fund เนื่องจากพวกเขามีความเชี่ยวชาญ ทรัพยากร และความสามารถในการประเมินความเสี่ยงด้านคู่สัญญาได้ดีกว่านักลงทุนรายย่อย และมักต้องการทำธุรกรรมขนาดใหญ่หรือต้องการสินทรัพย์ที่มีเงื่อนไขเฉพาะตัว

หุ้น OTC คืออะไร และมีความเสี่ยงแตกต่างจากหุ้นในตลาดหลักทรัพย์อย่างไร?

หุ้น OTC คือหุ้นของบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ข้อมูลของบริษัท เช่น งบการเงินหรือแผนธุรกิจ มีความโปร่งใสน้อยกว่ามาก ความเสี่ยงหลักจึงสูงกว่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในหลายมิติ ทั้งความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (หาคนซื้อขายด้วยยาก) และความเสี่ยงด้านข้อมูล (ขาดข้อมูลที่น่าเชื่อถือในการตัดสินใจ)

การซื้อขาย OTC ในประเทศไทยถูกกฎหมายหรือไม่?

การซื้อขาย OTC ในประเทศไทยนั้นถูกกฎหมาย และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น การซื้อขายตราสารหนี้จะอยู่ภายใต้การดูแลของสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) และสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อให้มีมาตรฐานและความน่าเชื่อถือ

จะตรวจสอบราคาของสินทรัพย์ในตลาด OTC ได้อย่างไร?

การตรวจสอบราคาทำได้ยากกว่าตลาดหลักทรัพย์ สำหรับตราสารหนี้ในไทย สามารถตรวจสอบราคาอ้างอิงได้จากเว็บไซต์ของสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) ส่วนสินทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้นนอกตลาดหรือตราสารอนุพันธ์ มักจะต้องสอบถามราคาโดยตรงจากโบรกเกอร์-ดีลเลอร์ที่ให้บริการ

ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของตลาด OTC คืออะไร?

ความเสี่ยงที่สำคัญและอันตรายที่สุดคือ ความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระของคู่สัญญา (Counterparty Risk) เพราะหากคู่สัญญาของเราไม่สามารถจ่ายเงินหรือส่งมอบสินทรัพย์ได้ตามที่ตกลง ก็อาจทำให้เกิดความสูญเสียทั้งหมดได้โดยไม่มีใครมารับผิดชอบเหมือนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีสำนักหักบัญชีเป็นตัวกลาง

ทำไมสถาบันการเงินขนาดใหญ่จึงนิยมใช้ตลาด OTC?

เหตุผลหลักคือ ความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับแต่งเงื่อนไข สถาบันการเงินมักต้องการสัญญาที่ซับซ้อนเพื่อบริหารความเสี่ยงเฉพาะด้าน หรือต้องการซื้อขายสินทรัพย์ในปริมาณมหาศาล ซึ่งการทำธุรกรรมในตลาด OTC สามารถตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้ดีกว่าตลาดหลักทรัพย์ที่มีกฎเกณฑ์ตายตัว

OTC ย่อมาจากอะไร?

OTC ย่อมาจากคำว่า “Over-the-Counter” ซึ่งมีความหมายแตกต่างกันไปตามบริบท ในทางการเงินหมายถึงการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ ส่วนในทางยาหมายถึงยาที่ซื้อได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์

Author photo

發佈留言