
WMA คืออะไร? คู่มือสมบูรณ์สำหรับนักเทรดไทย เข้าใจ Weighted Moving Average
WMA คืออะไร? ทำความรู้จัก Weighted Moving Average (WMA)

Weighted Moving Average หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า WMA คือเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่นักเทรดและนักลงทุนในไทยนิยมใช้กันมาก มันช่วยให้คุณมองเห็นแนวโน้มราคาในตลาดการเงินได้ชัดเจน โดยเน้นข้อมูลราคาล่าสุดให้เด่นกว่าข้อมูลเก่า ทำให้ WMA ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงราคาได้เร็วกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบธรรมดา หรือ Simple Moving Average (SMA) นั่นคือเหตุผลที่มันกลายเป็นตัวช่วยสำคัญในการตัดสินใจซื้อขาย
WMA อยู่ในกลุ่ม Moving Average ซึ่งคำนวณราคาเฉลี่ยของสินทรัพย์ในช่วงเวลาที่กำหนด แล้วลากเส้นบนกราฟราคา ชื่อ “ถ่วงน้ำหนัก” มาจากการกำหนดความสำคัญต่างกันให้ข้อมูลแต่ละจุด ราคาล่าสุดได้น้ำหนักสูงสุด ตามด้วยราคาก่อนหน้า และลดลงไปจนถึงข้อมูลเก่าที่สุดซึ่งได้น้ำหนักน้อยสุด หลักการนี้ทำให้ WMA สะท้อนการเคลื่อนไหวราคาปัจจุบันได้อย่างแม่นยำ ลองนึกภาพเส้นกราฟที่ปรับตัวตามราคาล่าสุดแบบเรียลไทม์ มันช่วยให้คุณจับกระแสตลาดได้ทันใจ
สูตรคำนวณ WMA คืออะไร? เข้าใจการทำงานเบื้องหลัง

การคำนวณ WMA อาศัยสูตรพื้นฐานที่เน้นน้ำหนักให้ข้อมูลราคาล่าสุด สูตรนี้ช่วยให้คุณเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร
สูตร:
WMA = (P1 * W1 + P2 * W2 + … + Pn * Wn) / (W1 + W2 + … + Wn)
โดยที่:
- Pn คือ ราคาปิดของแต่ละช่วงเวลา (เช่น ราคาปิดของวัน)
- Wn คือ น้ำหนักที่กำหนดให้กับแต่ละช่วงเวลา
ใน WMA แบบมาตรฐาน น้ำหนักจะลดลงตามลำดับเวลา ราคาปัจจุบันได้มากที่สุด เช่น ในการคำนวณ WMA 3 วัน:
- ราคาล่าสุด (วันที่ 3) ได้น้ำหนัก 3
- ราคาเมื่อวาน (วันที่ 2) ได้น้ำหนัก 2
- ราคาเมื่อสองวันก่อน (วันที่ 1) ได้น้ำหนัก 1
สูตร WMA 3 วันจึงเป็น: WMA = (ราคาปิดล่าสุด * 3 + ราคาปิดเมื่อวาน * 2 + ราคาปิดเมื่อสองวันก่อน * 1) / (3 + 2 + 1)
วิธีนี้ทำให้เส้น WMA ติดตามราคาได้ไว เทรดเดอร์จึงจับสัญญาณกลับตัวหรือต่อเนื่องของเทรนด์ได้ดีขึ้น คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมเส้นกราฟบางเส้นถึงปรับตัวเร็วขนาดนั้น?
WMA นำไปใช้จริงอย่างไร? กลยุทธ์สำหรับเทรดเดอร์ชาวไทย
เทรดเดอร์ไทยนำ WMA ไปใช้บนกราฟราคาเพื่อยกระดับการวิเคราะห์และวางแผนซื้อขาย กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้คุณใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. การดูทิศทางของ WMA: ถ้าเส้น WMA ชี้ขึ้น แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้น ถ้าชี้ลงคือขาลง แต่ถ้าเคลื่อนแนวนอน นั่นหมายถึงตลาด Sideways ที่ไม่มีทิศทางชัด
2. WMA เป็นแนวรับ/แนวต้านแบบไดนามิก: ในขาขึ้น เส้น WMA ทำหน้าที่แนวรับ ราคาที่อยู่เหนือเส้นกำลังขึ้นมักยึดถือเป็นจุดรองรับ ในขาลง มันกลายเป็นแนวต้าน ราคาที่อยู่ใต้เส้นกำลังลงคือจุดที่ราคาอาจเด้งกลับ
3. การยืนยันการเกิดเทรนด์: เมื่อราคาตัดเส้น WMA และเส้นเริ่มชี้ทิศชัด นี่คือสัญญาณยืนยันเทรนด์ใหม่กำลังเริ่มต้น
4. การใช้ WMA ร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่น: เพื่อความแม่นยำยิ่งขึ้น จับคู่ WMA กับ RSI เพื่อเช็คภาวะ Overbought/Oversold หรือ MACD เพื่อยืนยันสัญญาณซื้อขาย
ตัวอย่างการใช้ในตลาดหุ้นไทย: สมมติคุณวิเคราะห์หุ้น SCC บนกราฟรายวัน พบว่า WMA 20 วันกำลังขึ้นต่อเนื่อง และราคาหุ้นอยู่เหนือเส้นนี้เสมอ นี่บ่งชี้แนวโน้มขาขึ้นแข็งแกร่ง คุณอาจเปิดสถานะซื้อ แล้วตั้ง Stop Loss ใกล้เส้น WMA 20 เพื่อควบคุมความเสี่ยง
WMA ต่างจาก EMA อย่างไร? อะไรคือความแตกต่างที่สำคัญ?

WMA และ EMA เป็น Moving Average ยอดนิยม แต่ต่างกันตรงวิธีให้ความสำคัญกับราคา
การให้น้ำหนักราคา:
- WMA: น้ำหนักลดลงแบบคงที่ตามลำดับ ราคาล่าสุดได้มากสุด แล้วลดขั้น ๆ
- EMA: น้ำหนักลดแบบทวีคูณกับข้อมูลเก่า ราคาล่าสุดเด่น และลดเร็วเมื่อข้อมูลยิ่งเก่า
ความไวต่อการเปลี่ยนแปลงราคา:
- WMA: ไวต่อราคาล่าสุดมากกว่า SMA แต่ยังล่าช้าบ้าง
- EMA: ไวที่สุด ตอบสนองราคาเร็วกว่า WMA และ SMA
การตอบสนองต่อตลาดที่ผันผวน:
- WMA: เหมาะกับตลาดมีแนวโน้มชัด ไวพอแต่ไม่มากเกิน EMA
- EMA: ดีสำหรับตลาดผันผวนสูง ต้องการจับสัญญาณเร็ว
สถานการณ์ที่ WMA อาจเหมาะสมกว่า EMA: ในตลาดที่เทรนด์เริ่มชัดและต่อเนื่อง WMA ช่วยกรอง Noise จาก EMA ที่ไวเกินไป ทำให้ยืนยันเทรนด์ได้มั่นคงกว่า
ข้อดีและข้อเสียของ WMA คืออะไร? สิ่งที่เทรดเดอร์ควรรู้
WMA มีประโยชน์ แต่ก็มีข้อจำกัดที่เทรดเดอร์ต้องเข้าใจให้ดี
ข้อดี:
- สะท้อนราคาปัจจุบันได้ดีกว่า SMA: น้ำหนักให้ข้อมูลล่าสุดทำให้ WMA แสดงทิศทางราคาแม่นยำกว่า SMA ที่ให้น้ำหนักเท่ากัน
- ช่วยลดสัญญาณหลอกในตลาดที่มีเทรนด์: ในแนวโน้มชัด WMA ให้สัญญาณราบรื่น ลด False Signals เมื่อเทียบกับ SMA
- ช่วยในการตัดสินใจที่รวดเร็วขึ้น: ไวต่อราคามากกว่า SMA ทำให้เทรดเดอร์เข้าออกตลาดได้ทัน
ข้อเสีย:
- ยังมีสัญญาณ lagging (ล่าช้า) อยู่บ้าง: ไวกว่า SMA แต่ WMA ยังเป็น Lagging Indicator สัญญาณมักตามราคาที่เคลื่อนไปแล้ว
- อาจให้สัญญาณที่มากเกินไปในตลาดที่ไม่มีเทรนด์ชัดเจน (sideways): ในตลาด Sideways WMA อาจส่งสัญญาณถี่เกิน นำไปสู่ขาดทุนถ้าไม่จัดการความเสี่ยงดี
- การเลือก “ช่วงเวลา” ที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ: ประสิทธิภาพ WMA ขึ้นกับ Period ที่เลือก ค่าผิดอาจทำให้สัญญาณไม่แม่น
ค่า Moving Average ที่นิยมใช้มีอะไรบ้าง? และปัจจัยในการเลือก
การเลือกค่า Moving Average สำคัญมากต่อ WMA หรือ MA อื่น ๆ ค่าที่นิยมมีดังนี้
- ค่าสั้น (Short-term Periods): เช่น 5, 10, 20, 25 ช่วงเวลา เหมาะสำหรับ Scalpers หรือ Day Traders ที่จับราคาระยะสั้น ต้องการสัญญาณเร็ว
- ค่ากลาง (Medium-term Periods): เช่น 50, 75, 100 ช่วงเวลา ดีสำหรับ Swing Traders ติดตามแนวโน้มกลาง ใช้เป็นแนวรับ/ต้านหลัก
- ค่ายาว (Long-term Periods): เช่น 150, 200, 250 ช่วงเวลา สำหรับ Position Traders หรือ Investors ดูแนวโน้มยาว
ปัจจัยในการเลือก:
- กรอบเวลา (Timeframe): ค่า MA ควรตรงกับกราฟ เช่น บนกราฟรายวัน ใช้ 20, 50, 200 วัน
- สไตล์การเทรด: เทรดเร็วเลือกค่าต่ำ เทรดยาวเลือกค่าสูง
- ความผันผวนของสินทรัพย์: สินทรัพย์ผันผวนสูง ใช้ค่าต่ำเพื่อจับทัน
คำแนะนำสำหรับการทดลอง: ทดลองปรับ WMA ให้ตรงสไตล์เทรดและสินทรัพย์ในตลาดไทย ลอง WMA 10, 20, 50, 100 แล้วดูว่าค่าไหนให้สัญญาณแม่นและเข้ากับวิเคราะห์ของคุณ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ WMA (FAQ)
WMA คืออะไร และมีประโยชน์อย่างไรในการเทรด?
WMA (Weighted Moving Average) คือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนัก ที่ให้ความสำคัญกับราคาล่าสุดมากกว่าเก่า ช่วยเห็นแนวโน้มชัด ใช้เป็นแนวรับ/ต้านไดนามิก และยืนยันเทรนด์
วิธีคำนวณ WMA แบบง่ายๆ ทำอย่างไร?
นำราคาปิดแต่ละช่วงคูณน้ำหนัก (ราคาล่าสุดได้มากสุด) รวมแล้วหารด้วยผลรวมน้ำหนัก เช่น WMA 3 วัน: (ราคาปิดล่าสุด * 3 + ราคาเมื่อวาน * 2 + ราคาสองวันก่อน * 1) / (3+2+1)
WMA ใช้กับตลาดหุ้นไทยได้หรือไม่?
ได้ WMA ใช้กับตลาดหุ้นไทยได้เหมือนตลาดอื่น ๆ ปรับค่าให้เหมาะกับสินทรัพย์และกรอบเวลาวิเคราะห์
WMA ต่างจาก EMA อย่างไร และควรเลือกใช้อะไร?
WMA ลดน้ำหนักแบบคงที่ EMA ลดแบบทวีคูณ EMA ไวต่อราคาล่าสุดมากกว่า เลือกตามสไตล์เทรดและตลาด EMA สำหรับความเร็ว WMA สำหรับสัญญาณมั่นคงในเทรนด์
ค่า WMA ที่นิยมใช้มีค่าอะไรบ้าง?
นิยม 5, 10, 20 (ระยะสั้น), 50, 100 (ระยะกลาง), 200 (ระยะยาว) เลือกตามกรอบเวลาและสไตล์เทรด
發佈留言
很抱歉,必須登入網站才能發佈留言。